ทางด้านสายฟ้าก็เอาแต่ไล่ตามอย่างไม่ลดละ มุมปากของกานต์ยกขึ้นเล็กน้อย ในตอนที่บินขึ้นสู่อากาศจึงจงใจผ่อนความเร็วลง
ในที่สุดไอราและสิงหราชก็หายใจหายคอสะดวกเพราะความเร็วที่ลดลงต่ำ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงทนไม่ไหวอ้วกออกมาแน่ๆ
และในตอนนี้เอง ไอราถึงได้ค้นพบว่าตัวตนและโลกของกานต์แตกต่างกับของตัวเองอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าเธอจะเป็นองค์หญิงต่างแดน ที่เคยผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันมานับไม่ถ้วน แต่กระนั้นเธอก็เพิ่งเคยเผชิญกับเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้เป็นครั้งแรก
คิดมาตลอดว่าที่ตัวเองตามจีบกานต์เป็นเวลายี่สิบปี ทำให้ตัวเองรู้จักกานต์เป็นอย่างดี แต่กานต์ในชั่วขณะวินาทีนี้กลับดูเปล่งประกายเหมือนเพชร ไม่อาจละสายตาไปไหนได้ ราวกับว่าเขาเกิดมากับท้องฟ้า ราวกับว่าเขามีเครื่องบินเป็นส่วนหนึ่งในร่างกาย
ความคล่องตัวและทักษะเหล่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะชอบและฝึกฝนมานานจริงๆก็คงทำไม่ได้
ให้นกอินทรีที่ควรบินว่อนอยู่กลางอากาศ ถลาลงพื้นมาเป็นคนธรรมดามันถูกต้องแล้วจริงๆเหรอ?
เป็นครั้งแรกที่ไอราเกิดคลาแคลงใจกับการตามจีบกานต์ของตัวเอง
กานต์รับรู้ได้ถึงสายตาที่กำลังคิดอะไรในใจของไอรา แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจ ชีวิตของคนสามคนฝากไว้ในมือของเขา เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยเสียงเบาว่า “ทิ้งความคิดสับสนวุ่นวายในหัวของเธอไปก่อน รีบส่งข้อความหาคนข้างล่าง ให้พวกเขาล้อมสกัดคนข้างหลังพวกนั้นให้กลับไปไหนไม่ได้!”
“ได้”
ไอราเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว
เธอโทรหาชมพูเป็นอันดับแรก เพราะนอกจากเบอร์ของชมพูแล้ว เธอก็ไม่รู้เบอร์คนอื่นเลย เธอมีเบอร์ส่วนตัวของนะโมก็จริง แต่คิดว่าคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ถ้าโทรไป มันก็คงเหมือนกรณีที่กานต์จะรายงานต่อเบื้องบน แต่เลือกโทรหานะโมแทนที่จะโทรหาชมพูนั่นแหละ
เมื่อชมพูเห็นไอราโทรเข้ามาใจจริงแล้วไม่อยากรับ แต่เธอก็รู้ว่าตอนนี้ไอราต้องอยู่กับกานต์แน่ๆ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความรู้สึกต่างๆภายในใจเอาไว้แล้วกดรับสาย
“มีอะไร?”
“กานต์บอกว่าให้พวกเธอรีบจัดวางกำลังป้องกัน ล้อมสกัดคนที่ตามพวกฉันมาข้างหลังไว้ อย่าให้พวกเขากลับไปได้”
ส่วนจะล้อมสกัดยังไง เรื่องนี้น่าจะเป็นโค้ดลับที่ชมพูและกานต์เข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ไอราไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่ส่งต่อคำสั่งของกานต์ให้อีกฝ่ายทราบ
ชมพูรู้สึกขัดใจ แต่ก็รู้ว่าสถานการณ์กำลังเร่งรีบ จึงเอ่ยว่า “ฝากบอกพี่กานต์สบายใจได้ พวกฉันประจำการแล้ว เรียบร้อยรับรองพี่กานต์ลงจอดได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
“ขอบคุณ”
คำขอบคุณของไอรามันขัดหูชมพูแปลกๆ
“ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้ทำเพื่อเธออยู่แล้ว ถ้าไม่ช่เพราะเธอ พี่กานต์ก็คงไม่ต้องมาเจออะไรอย่างนี้หรอก”
คำพูดนี้เหมือนมีมีดทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของไอรา แต่เธอก็ไม่โต้ตอบหรืออธิบายอะไรออกไป เลือกที่จะวางสายไปอย่างใจเย็น
ตอนนี้กานต์เป็นแฟนของเธอแล้ว ในฐานะที่ชมพูเป็นคนแพ้ เธอให้สิทธิ์อีกฝ่ายโกรธและไม่พอใจได้เต็มที่
เมื่อกานต์เห็นไอราวางสาย แล้วจึงพูดว่า “ไปเอาน้ำมาให้หน่อย”
“ได้”
ไอรากลัวว่าเครื่องบินไม่นิ่งแล้วกานต์จะดื่มน้ำลำบาก จึงใส่หลอดลงไปด้วย แล้วยื่นไปตรงหน้ากานต์
สายตาของกานต์จดจ่องอยู่กับเบื้องหน้า ส่วนปากคาบหลอดดูดน้ำ การกระทำและแววตาที่ดูมั่นใจนั้นพลอยทำให้ไอราอุ่นใจไปด้วย
“นายรู้ไหมว่าคนที่ตามเรามาเป็นใคร?”
“ต้องเป็นสายฟ้าแน่นอน ฉันระเบิดเรือของเขา ตอนนั้นคนที่ค้นหาเฮลิคอปเตอร์เหนือท้องทะเลเจอมีแค่ฉัน ถ้าไม่ใช่เขาตามมาแล้วจะเป็นใครไปได้”
กานต์มั่นใจเป็นอย่างมาก
ไอราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เดินถอยกลับไปนั่งอยู่ข้างหลังกับสิงหราชเหมือนเดิม
ทันใดนั้นก็มีขีปนาวุธลูกหนึ่งปล่อยออกจากเครื่องบินของพวกเขา ตามมาด้วยเสียงดังสะเทือน “ตู้ม”หลังจากพุ่งชนบางสิ่ง
ไอราหันไปมองข้างหลัง ควันสีดำที่กำลังพวยพุ่งทำให้มองอะไรไม่เห็น แต่ความรู้สึกสั่นสะเทือนนี้ก็ยังทำให้เธอและสิงหราชสติเลื่อนลอยอยู่นาน
แม้ว่าเธอจะเป็นองค์หญิงต่างแดน แต่ก็ไม่เคยเจอสงคราม เพราะอยู่ในยุคสมัยที่สงบสุขมาตลอด หลายปีมานี้ได้มาอยู่กับกานต์ พูดตามตรงว่าไม่เข้าใจอะไรพวกนี้เลย ส่วนสิงหราชแม้ว่าจะเคยได้รับการฝึกฝนมา แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาประสบพบเจอกับตัวแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าไม่กังวลไม่กลัวเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
มีแค่กานต์คนเดียวที่ยังนิ่งเหมือนอย่างตอนแรก หลังจากที่คนข้างหลังถูกระเบิด กานต์ก็ลดความเร็วลง และบังคับเครื่องบินตรงไปยังเมืองหลวง
“เกิดเรื่องขนาดนี้ ถ้าจะกลับเมืองชลธีเลยก็คงยาก ฉันต้องกลับไปชี้แจงที่เมืองหลวงก่อน ”
ไอราไม่คัดค้านคำพูดของกานต์
ในตอนที่เครื่องบินมาถึงเมืองหลวง ธเนศพลก็พานะโมกับชมพูมารออยู่ก่อนแล้ว
ชั่ววินาทีที่ชมพูได้เห็นกานต์ตาของเธอก็แดงก่ำ
ด้านนะโมกลับเดินตรงเข้าไปปล่อยหมัดใส่กานต์
“เฮีย เฮียทำอะไรวะ? คิดจะไปก็ไป ยังเห็นพวกผมเป็นพวกพ้องอยู่หรือเปล่า? ผมก็แค่ต่อว่าลูกพี่ไม่กี่คำเอง? ถ้าไม่ชอบก็ด่ากลับมาสิ!ต่อยผมก็ได้ แต่นี่เฮียทำอะไร? ผลักเรื่องราวมากมายมาให้ผม ส่วนตัวเองคิดจะไปไหนก็ไป เฮียเคยคิดถึงความรู้สึกพวกผมบ้างไหม?”
นะโมพูดออกมาด้วยกรอบตาแดงก่ำ
กานต์มองมาที่เขา แล้วผลักเขาออก จากนั้นก็เอ่ยพูดด้วยใบหน้าเอือมๆ “ลูกผู้ชายบ้าอะไรร้องไห้ขี้มูกโป่ง? ถ้าคนไม่รู้เขาคงคิดว่านายกับฉันมีซัมติงกันไปแล้วมั้งเนี่ย ฉันก็แค่ปลดประจำการ ไม่ได้มาลาตายสักหน่อย นายต้องเว่อร์ขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ทำไมจะเว่อร์ไม่ได้? เราอยู่ด้วยกันมาตั้งสิบปี ผมมีเฮียคอยเดินนำหน้าอยู่ตลอด ตอนนี้จู่ๆเฮียก็ผลักผมมาอยู่ข้างหน้าแล้วเฮียก็ไป ผมสับสนไปหมดแล้ว หลังจากนี้ผมจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ยังไง? เฮียรับผิดชอบผมเลยนะ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนนะโมเป็นสาวน้อยที่กำลังจะถูกทิ้ง
ธเนศพลมองมาที่กานต์ หัวคิ้วขมวดมุ่น แววตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่กลับไม่กล้าพูดออกไป
ไอรารู้สึกยืนอยู่ตรงนี้แล้วเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
คนที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายในสงครามมาด้วยกัน แต่เธอกลับต่างออกไปจากพวก กระนั้นเธอก็ไปไหนไม่ได้ ความรู้สึกนั้นมันทั้งน่าอึดอัดและกระอักกระอ่วน
ชมพูเดินเข้าไปผลักไอรา
“เพราะเธอคนเดียว!เธอมันตัวซวย!”
ไอราไม่ทันได้ระวัง จึงถูกผลักเข้าเต็มเปา ในตอนที่กำลังเซถอยจะล้ม แขนแข็งแรงคู่หนึ่งก็ประคองเธอเอาไว้ได้อย่างมั่นคง กลิ่นที่คุ้นเคยพลันปะทะเข้ามาในจมูก
ความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นหัวเสียงเย็นยะเยือกแกมข่มขู่ดังออกมาว่า
“ชมพู!ขอโทษเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของกานต์ย่ำแย่มาก
โตมาจนถึงป่านนี้ชมพูเพิ่งเคยเห็นกานต์มีท่าทีเคร่งขรึมและกรุ่นโกรธเธอมากถึงขนาดนี้
ปกติไม่ว่าเธอทำอะไร กานต์ก็ไม่เคยว่าอะไรสักคำ แถมบางครั้งยังช่วยจัดการปัญหาให้เธอด้วยซ้ำ แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงโกรธเธอเพราะไอราได้ถึงขนาดนี้?
ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะให้เธอขอโทษไอราอีก ถือสิทธิ์อะไร?
ถ้าไม่ใช่เพราะไอรา กานต์จะต้องออกจากกองทหารไหม? จะต้องไปจากพวกเขาหรือเปล่า?