“กานต์ ช่างมันเถอะ”
ไอราจับแขนของกานต์เอาไว้
กานต์เห็นท่าทีเป็นกังวลของไอรา แววตาจึงเปล่งประกายความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย พูดขึ้นเบาๆ “ช่างมันไม่ได้ นี่เป็นไตที่ฉันหามาให้เธอ ใครหน้าไหนก็ไม่มีคุณสมบัติแล้วก็ไม่มีสิทธิ์แย่งไปทั้งนั้น เชื่อฉันรอฉันกลับมานะ”
“ฉันจะไปกับนายด้วย”
ไอรากังวลใจ หวาดกลัว เธอรู้ว่ากานต์เก่ง แต่ก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้
ถ้าเป็นแต่ก่อน กานต์คงไม่ปฏิเสธแน่ๆ แต่ตอนนี้สุขภาพของไอราแย่มาก แม้เธอจะเก็บซ่อนเรื่องนี้อย่างเต็มที่มาโดยตลอดก็ตาม
กานต์ลูบผมของเธอ พูดเบาๆ “เชื่อฉัน รอฉันกลับมานะ”
คำพูดนี้ทำให้ไอรารู้แล้วว่าการตัดสินใจของเขาคืออะไร แววตาของเธอผิดหวัง
ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถตามกานต์ไปได้ ตอนนี้สำหรับกานต์แล้ว ไม่รู้เลยว่าตนเองถือเป็นภาระของเขาหรือเปล่า ไอรารู้เพียงแค่ ถ้ามีโอกาสที่ต้องเลือกอีกครั้ง เธอก็ยังคงไม่ลังเลที่จะตัดสินใจเหมือนเดิม เพราะการได้รักเขากลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
“ก็ได้ นายต้องไม่เป็นไรนะ ฉันจะรอนายกลับมา”
ไอราไม่ได้อ้อนวอนต่อไป
ในเมื่อกานต์รู้สึกว่าเธอไม่เหมาะที่จะไปกับเขา งั้นเธอก็จะรอเขาอยู่ที่นี่อย่างสงบ ถึงเธอจะร้อนรนกระวนกระวาย ถึงเธอจะเป็นห่วงเขาเหลือเกิน
กานต์รู้ว่าจริงๆในใจของไอราก็ทนไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาต้องมีเหตุผลให้มากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้า ไอราออกไปก็ต้องแบกรับกับความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนี้เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
หลังจากเขามองไอราอย่างลึกซึ้งแล้วก็ก้าวเท้าเดินออกไป กิจจาถึงได้เดินตามหลังเขาออกไปจากห้อง
กิจจาเห็นกานต์เดินเร็วมาก จึงขมวดคิ้ว พูดขึ้น “ไม่พาเธอไปด้วยจริงๆเหรอ? จริงๆสุขภาพของเธอในตอนนี้ยังไหวอยู่นะ”
“ผมไม่หวังให้เธอเกิดเรื่องใดๆขึ้นเลย อยู่ที่นี่มีคนของเขตทหาร มีคนของตระกูลเชาวนภูติ แล้วยังมีแม่กับน้องชายของเธออีก ที่นี่ปลอดภัยจนทำให้ผมไม่ต้องกังวล พี่ใหญ่ คนๆนั้นไปทางไหน?”
กานต์เดินมาถึงทางเข้า จึงหันกลับไปมองกิจจา
กิจจาชี้ๆไปทางด้านข้าง พูดขึ้น “พี่ก็เห็นไม่ชัดมาก แต่น่าจะเป็นทางนี้ ไม่งั้นนายรอให้คนของเขตทหารตรวจสอบผลลัพธ์ออกมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจไหม?”
“ไม่ต้องหรอก ไตของไอรารอไม่ได้”
กานต์พูดจบก็เดินออกไปทางที่กิจจาชี้ทันที
เขาเดินไปด้วยความรีบร้อน จึงไม่เห็นความรู้สึกซับซ้อนในแววตาของกิจจา ที่แวบขึ้นมาแล้วหายไปในทันที
คนของเขตทหารก็กำลังสืบสวนเรื่องราว ทั้งโรงพยาบาลทหารโดนประกาศเคอร์ฟิวแล้ว
กานต์ไล่ตามออกไปไกลระยะหนึ่งแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ
เขาจึงหยุดฝีเท้าลง
แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่มีความสามารถในการหลบหลีกการติดตามมากมาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบร่องรอยใดๆเลย
กานต์ขมวดคิ้วแน่น กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ส่วนทางด้านนี้ กิจจากลับมาที่ห้องทำงาน เพิ่งจะเปิดประตูก็โดนใครบางคนจ่อกริชเข้ามาที่คาง
“ฉันเอง”
กิจจาไม่ได้แสดงท่าทีตกใจสักนิด ราวกับกริชที่อยู่ใต้คางนั้นทำมาจากกระดาษ ไม่มีท่าทีที่โดนข่มขู่คุกคามเลย เขาเดินเข้าไปอย่างทะนงตัว
อีกฝ่ายรีบเก็บกริชลงมา มองกิจจาแล้วขมวดคิ้วแน่นพูดขึ้น “นายไม่กลัวตายเลยหรือไง? ถ้าฉันถือไว้ไม่มั่นคง นายคงโดนฉันตัดคอไปแล้ว”
“ตายก็ตายสิ เรื่องที่ฉันทำทั้งหมดตอนนี้แตกต่างจากตายไปแล้วยังไงเหรอ?”
แววตาของกิจจาสงบจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
อีกฝ่ายกำลังกัดริมฝีปากมองกิจจา ราวกับมีคำพูดมากมายที่อยากพูด แต่สุดท้ายกลับระงับเอาไว้ทั้งหมด
เธอถอดที่คลุมหัว เปิดเผยผมหยักศกสีน้ำตาลออกมา ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นเหมือนมาพร้อมกับเสน่ห์มัดใจ ทำให้คนที่ได้เห็นละสายตาไม่ได้เลย
สำหรับความงดงามของเธอกิจจาไม่สนใจสักนิด เดินไปที่หลังโต๊ะเปิดลิ้นชักหยิบตั๋วเรือใบหนึ่งออกมาทันที พูดอย่างเมินเฉย “ฉันช่วยได้แค่นี้ รีบไปเถอะ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลโตเล็กก็ดี หรือคนของเขตทหารก็ตาม เธอต่อกรกับพวกเขาไม่ได้หรอก ฉันหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอเธอ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราสองคนไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
แววตาของหญิงสาวยากที่จะเข้าใจ เธอมองกิจจา พยายามมองหามิตรภาพเพียงเล็กน้อยจากบนใบหน้าของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเลย
เธอพูดขึ้นอย่างไม่ยินยอม “นายไม่มีความรู้สึกกับฉันสักนิดเลยเหรอ?”
“ไม่มี”
“ในเมื่อไม่มี นายจะช่วยฉันทำไม? เพราะฉันเคยช่วยนายไว้งั้นเหรอ? กิจจา ฉันเอาไตของน้องสะใภ้นายมา นายไม่กลัวทะเลาะกับน้องชายจนกลายเป็นศัตรูกันเพราะเรื่องนี้เหรอ?”
“ไสหัวไป! ให้ไว เดี๋ยวนี้!”
แววตาของกิจจาเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
หญิงสาวคิดว่ากิจจาเป็นคนสุภาพมาโดยตลอด ถึงขั้นที่ไม่เคยเห็นเขาระเบิดอารมณ์ใส่ใครมาก่อน แต่ตอนนี้ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ถึงกับเหมือนธนูน้ำแข็งที่ยิงไปหาเธอ ทำให้เธอขดตัว ตัวสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้
กิจจาในตอนนี้เป็นคนแปลกหน้า เป็นคนที่น่าหวาดกลัว ทำให้เธอไม่กล้าเข้าใกล้
หญิงสาวจึงกอดกล่องที่อยู่ในมือ สุดท้ายก็มองกิจจาอีกครั้ง แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
หลังจากหญิงสาวออกไปแล้วกิจจานั่งลงไปบนเก้าอี้ ฝ่ามือกับแผ่นหลังมีเหงื่อโซกเต็มไปหมด
ตอนที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามือยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำร้ายคนในครอบครัว แม้ไอราจะยังไม่ถือเป็นคนของตระกูลโตเล็ก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องแต่งงานกับกานต์
แต่เขากลับช่วยเหลือคนนอกที่แตะต้องไตของน้องสะใภ้
ดวงตาของกิจจาราวกับโดนน้ำหมึกสะบัดลงไปอย่างนั้น เขาที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลยไม่นึกว่าจะหยิบบุหรี่ออกมาจุด พยายามดูดได้สองคำ ก็สำลักจนไอออกมาไม่หยุด
เขาวางบุหรี่ลง นิโคตินทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติได้ชั่วคราว เขาแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรไปหาคนของตลาดมืด
“ฉันต้องการไต เหมือนที่ฉันต้องการคราวก่อน ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ ฉันก็เอาทั้งนั้น แต่ต้องเร็ว!”
ทางด้านตลาดมืดตะลึงไปชั่วครู่ แต่ทว่าไม่ได้พูดอะไร บอกตัวเลขไปในทันที หลังจากกิจจาวางโทรศัพท์แล้วก็โอนเงินไปให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าที่ด้านหลังมีคนจ้องมองตนเองอยู่
“ใคร?”
กิจจาหันไปทันที ก็เห็นกานต์ยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างฝรั่งเศส ไม่รู้ว่าอยู่มานานแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าได้ยินอะไรไปบ้าง ถึงยืนอยู่ที่มุมมืดของหน้าต่างฝรั่งเศสอย่างนั้น แต่ทว่าสายตากลับทำให้กิจจารู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากๆ
“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่ส่งเสียงเลย?”
ใจของกิจจาค่อนข้างกระวนกระวาย ทว่าพยายามควบคุมเอาไว้อย่างเต็มที่ เขารินน้ำแล้วดื่มเข้าไป แต่กลับยังคงหมดหนทางจะเผชิญหน้ากับสายตาของกานต์
กานต์ที่เห็นทุกอย่าง ค่อยๆเดินออกมาจากมุมมืด
น้อยมากที่เขาจะมองกิจจาอย่างจริงจังเช่นนี้
ด้วยอายุที่โตขึ้น จริงๆแล้วเขากับกิจจายิ่งโตยิ่งหน้าเหมือนกัน ออกไปข้างนอกถ้าบอกว่าเป็นแฝดกันก็มีคนเชื่อ
กานต์ไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายแท้ๆของตนเองจะทำเรื่องอย่างนี้ออกมา
ผลลัพธ์อย่างนี้โจมตีเขาอย่างรุนแรง เขาถึงกับลังเลว่าควรเดินออกมาหรือเปล่า ควรให้กิจจารู้ว่าตนเองเคยมาที่นี่หรือเปล่า แต่สมองกลับเหมือนหยุดทำงานไปแล้ว จนปัญญาที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้
“ทำไม?”
เสียงของกานต์ค่อนข้างแหบพร่า เขาจ้องมองกิจจา ราวกับส่งวิญญาณของตนเองเข้าไปต้อนให้จนมุม ทำให้กิจจาไม่สามารถสบตาได้