หลังจากที่กานต์ลงสู่พื้นดินอย่างปลอดภัย ประตูห้องของกิจจาก็ถูกเปิดออก ท่านพลพาคนเดินเข้ามา
เขาสำรวจห้องของกิจจาเล็กน้อย ราวกับอยากจะเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง กลับเห็นกิจจายืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มประชดประชัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจ กลับได้แต่อดกลั้นเอาไว้
“หมอกิจจายังไม่พักผ่อนหรอครับ?”
ท่านพลเอ่ยปากขึ้นอย่างค่อนข้างเก้กัง
กิจจากลับเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ตอนนี้ผมถูกคุณกักขังเอาไว้ คุณคิดว่าผมจะสามารถนอนหลับได้? งั้นผมต้องใจโตขนาดไหนกัน?”
คำพูดนี้พูดจนท่านพลรู้สึกหน้าเสีย
“หมอกิจจา ไม่จำเป็นต้องตาต่อตาฟันต่อฟันกับผมแบบนี้หรอกมั้งครับ คุณก็รู้ ผมเห็นคุณเป็นแขกผู้มีเกียรติ”
“คุณพูดคำพูดนี้ไม่รู้สึกละอายใจหรอ? หรือว่ามีคำพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ”
กิจจากลับไม่ผ่อนปรนเลยแม้แต่น้อย ทำเอา ท่านพลโมโหเป็นอย่างยิ่ง
รอยยิ้มของเขาในที่สุดก็เก็บลง เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “เมื่อครู่นี้สายฟ้ามาที่นี่ ได้พูดคุยอะไรกับคุณใช่หรือเปล่า?”
“อืม เขาต้องการให้ผมช่วยลูกชายเขา ทำไมครับ? ท่านพลก็มาขอร้องผมเหมือนกัน?”
คำว่าขอร้องนี้ของกิจจาทำให้สีหน้าของท่านพลไม่น่าดูขึ้นมาในทันที
“ขอร้อง?เขาขอร้องยังไง?”
“คุกเข่าลงขอร้องผมน่ะสิ ขอร้องคนก็ต้องมีท่าทีของการขอร้อง ท่านพลว่าใช่หรือเปล่า?”
กิจจามองดูท่านพลอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
สีหน้าของท่านพลไม่เข้าใจขึ้นมาในชั่วขณะ
นิสัยของสายฟ้าเขารู้ดีกว่าใคร มองดูเชื่อฟังคำสั่งมาก แต่ก็กลับโอหังมากเช่นเดียวกัน ถ้างั้นคนที่โอหังคนหนึ่งจะคุกเข่าลงขอร้องกิจจา?
ทว่าคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ของลูก ท่านพลก็ไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจอีกว่าสายฟ้าจะไม่คุกเข่าลงเพื่อลูก ถึงอย่างไรท่าทีที่เขามีต่อลูกท่านพลก็รู้ดีมากเช่นเดียวกัน
คิดถึงตรวนี้ ท่านพลก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว เอ่ยขึ้นตรงๆว่า “หมอกิจจาตัองทำยังไงถึงจะสามารถทำการผ่าตัดให้หลานผมได้?”
“เงื่อนไขผมไม่ใช่เสนอไปแล้ว?”
“หมอกิจจาไม่คิดจะอ้อมกับผมแม้แต่น้อยจริงๆใช่หรือเปล่า? นึกว่าผมไม่มีวิธีการอะไรกับคุณ?”
สีหน้าของท่านพลในที่สุดก็หนักอึ้งลงมา
กิจจาหัวเราะอย่างประชดประชันพร้อมกับเอ่ย “คุณยังคิดจะยังไง?”
“กานต์แม้ว่าพวกเราจะหาไม่เจอ แต่นรมนกับบุริศร์จะต้องหาเจออย่างแน่นอน ผมรู้ความสามารถของพวกเขาและข้างกายก็ยังมีคนคุ้มกันอยู่ แต่ว่าก็คงจะไม่สามารถคุ้มกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่หรือเปล่า? อีกอย่าง ได้ยินว่าน้องชายสองคนกับน้องสาวอีกหนึ่งคนของคุณต่างก็เป็นตัวของตัวเองอย่างมาก คุณว่าหากผมแตะต้องพวกเขา…”
“คุณกล้า!”
ใบหน้าของกิจจามืดมนลงมาอย่างกะทันหัน
ครอบครัวเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา
ท่านพลเห็นกิจจาโมโหแล้ว ถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนๆว่า “ฉะนั้นหมอกิจจายังไงก็คิดไตร่ตรองดูให้ดีเถอะ”
พูดจบท่านพลก็พาคนจากไป
กิจจาค่อนข้างเป็นกังวล แต่ก็คิดว่าน้องชายน้องสาวของตนเองฝีมือแกร่งกล้า ไม่แน่ว่าจะยอมอ่อนข้อให้กับท่านพลได้ แต่ที่เขาพูดก็ถูก เสือยังมีตอนที่งีบหลับ กลัวก็แค่ท่านพลจะเป็นเหมือนงูพิษจ้องคนในครอบครัวของเขาจริงๆ
เขาหมุนตัวด้วยความรวดเร็ว แต่ว่ากานต์ได้จากไปแล้ว
ในเมื่อกิจจาจะอยู่ที่นี่ต่อ กานต์ก็ไม่ทำลายแผนการของเขาเป็นธรรมดา วินาทีที่ลงสู่พื้นก็ทำให้คนถอยทัพออกไปแล้ว จากนั้นก็ส่งตำแหน่งของที่นี่ออกไปในวินาทีแรก
ตอนนี้เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้น เชื่อเพียงแค่ชมพูกับนะโม ดังนั้นข้อความก็ต้องส่งให้กับพวกเขาเป็นธรรมดา
ชมพูไปบอกกับธเนศพล
ธเนศพลส่งคนเฝ้าสังเกตคฤหาสน์ด้วยความรวดเร็ว
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนต่างก็กำลังดำเนินการอยู่อย่างเป็นระเบียบแบบแผน
หลังจากที่กานต์ออกไปจากคฤหาสน์ก็ไปที่โรงพยาบาลทหารด้วยความรวดเร็ว ในเวลานี้ฟ้าเพิ่งสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
กานต์ที่ไม่ได้หลับมาทั้งคืนกระโดดเข้าไปในห้องของไอราจากทางหน้าต่าง หลังจากที่เห็นคนที่อยู่ในใจนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ใจที่ตึงเครียดนั้นในที่สุดก็ลงสู่พื้นดิน
เขาถอดรองเท้าขึ้นเตียงด้วยความรวดเร็ว มือหนึ่งข้างโอบไอราเอาไว้
ลมหายใจที่คุ้นเคยทำให้ไอราชะงักเล็กน้อย พอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่ขยายใหญ่นั่นของกานต์ อดไม่ได้ที่จะคิดว่าตนเองฝันไป หยิกตัวเองอย่างเต็มแรงไปทีหนึ่ง
ไม่เจ็บ?
ดังนั้นกำลังฝันอยู่จริงๆ?
ไอรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทั้งยังใจกล้าขึ้นมา
ใจเมื่อเป็นความฝัน งั้นเธอทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำหน่อยได้ใช่หรือเปล่า?
คิดถึงตรงนี้ ไอราประคองใบหน้าของกานต์เอาไว้จูบลงไปหนึ่งที จูบไปด้วยขำไปด้วยพร้อมกับเอ่ยว่า “โลกความฝันนี่สมจริงมากจริงๆ สัมผัสดีขนาดนี้”
กานต์เรียกได้ว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
ไอราสภาพนี้ค่อนข้างโก๊ะ กลับทำให้คนรู้สึกยินดีอยู่ในใจอีก
ฝันใช่ไหม?
กานต์ล็อกศีรษะทางด้านหลังของเธอเอาไว้ ยึดพื้นที่อย่างกับลมพายุเข้าก็ไม่ปานขึ้นมา
ไอราตกใจในทันที คิดจะถอยทัพก็ได้สายเกินไปแล้ว ถูกคนบางคนกักขังอยู่บนเตียงแบบเป็นๆ เกือบจะจูบจนขาดอากาศหายใจ
ตอนที่กานต์ปล่อยเธอออก ไอราก็หายใจถี่ ราวกับปลาที่ห่างไกลจากน้ำ
“กานต์ คุณบ้าไปแล้วหรอ?”
“ไม่ใช่รู้สึกว่าเป็นความฝัน?”
กานต์มองดูไอราด้วยสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ มุมริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกว่าอารมณ์ของเขาดีมาก
คิ้วของไอราแทบจะขมวดจนติดกันเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้ฉันหยิกตัวเองไปแล้วแท้ๆ ไม่เห็นเจ็บ”
“เธอแน่ใจว่าที่เธอหยิกคือตัวเอง? งั้นรอยเขียวนี่บนแขนของฉันคือผีหยิก?”
กานต์โชว์แขนออกมาอย่างกลัดกลุ้ม รอยเขียวนั่นดูแล้วกลับทำให้ไอราแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย
ที่เธอหยิกเมื่อครู่นี้คือกานต์?
ยังใช้แรงมากขนาดนั้นอีก?
ไอรารู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เธอหัวเราะแหะๆจับแขนของกานต์วางลง เอ่ยว่า “คุณไม่ใช่มีธุระตอนเที่ยงถึงจะกลับมาหรอ?”
“กลับมาก่อนล่วงหน้าคุณไม่ดีใจ?“
ท่าทางเธอกล้าพูดไม่ดีใจฉันก็จะฆ่าเธอในตายนี้ของกานต์ ไอราก็ต้องไม่กล้าพูดอะไรเป็นธรรมดา
“จะเป็นไปได้ยังไง? ฉันดีใจมากจนเกินไปต่างหาก ดังนั้น…”
“หุบปาก นอน!”
กานต์ขี้เกียจฟังสาวน้อยเอะอะเสียงดัง มือใหญ่ยกขึ้นมา โอบเธอเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง จากนั้นนอนราบลงไป
ไอราเดิมทีค่อนข้างเก้อเขิน ตอนที่บิดตัวคิดจะพูดอะไรก็พบว่าลมหายใจของกานต์สม่ำเสมอขึ้นมา
นอนหลับไปแล้ว?
เธออดไม่ได้ที่จะมองดูกานต์เล็กน้อย พบว่าใต้ตาของเขามีรอยดำเขียวคล้ำ ดังนั้นเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืนหรอ?
ไอรารู้สึกสงสารขึ้นมาในทันที
เธอรู้ว่ากานต์ตื่นง่าย เสียงเพียงเล็กน้อยก็ตื่นขึ้นมาได้ เพื่อไม่ส่งผลต่อการพักผ่อนของเขา ไอราก็เลยรักษาท่านอนเมื่อสักครู่นี้เอาไว้ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ตนเองกลับไม่มีความอยากนอนแล้ว
มองดูใบหน้าอันหล่อเหลาของกานต์ ไอราหัวเราะขึ้นมาอย่างโง่ๆ รู้สึกว่าหน้าอกกลิ้งวนราวกับน้ำเดือดก็ไม่ปาน
เขากลับมาแล้ว ดีจริงๆ!
เดิมทียังมีความกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดในครั้งนี้ ทว่าตอนนี้เธอวางใจโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
ขอเพียงแค่มีกานต์อยู่ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว
ในความไม่รู้ตัว ไอราก็รู้สึกเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ก็พาดไปบนแผ่นอกของกานต์นอนหลับเงียบๆไปทั้งแบบนั้น
รอถึงตอนที่รมิดากับแมทธิวเข้ามาเรียกไอราให้ลุกจากที่นอน ที่เห็นก็เป็นใบหน้านอนหลับของหนุ่มหล่อสาวสวยฉากนี้พอดี
สีหน้าของรมิดาดูไม่ดีนัก คิดจะเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน กลับถูกแมทธิวดันออกไป
“แมทธิว คนที่อยู่ด้านในนั้นคือพี่สาวของแก”
รมิดารู้สึกกลัดกลุ้ม
แมทธิวกลับหัวเราะคิกคักพร้อมกับเอ่ย “พี่แทบอยากจะแต่งเข้าตระกูลโตเล็กมาตั้งนานแล้ว แม่ ลูกสาวโตแล้วจะยังไงก็รั้งไม่อยู่ รั้งมารั้งไปรั้งกลายเป็นศัตรู แม่อย่าให้พี่ใหญ่ของผมรังเกียจก็พอ”
คำพูดนี้คิดไม่ถึงว่าจะพูดจนรมิดาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรถึงจะดี
ในขณะเดียวกัน ณิตาก็มา