หนอนวูดูพันวันมึนเมาเป็นพิษและเป็นประเภทที่ทำให้ใครบางคนตกอยู่ในอาการหมดสติ และในที่สุดก็จะเสียชีวิตไปในการหลับของพวกเขา
แต่ตราบเท่าที่หนอนแม่ยังดีอยู่ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา
หรืออย่างน้อย พวกเขาก็สามารถที่จะสับเปลี่ยนหมอนแม่ได้อย่างราบรื่นและถึงแม้ว่าหยวนเฉิน จะต้องการจะใช้มันเพื่อทำอะไรบางอย่างกับฮูหยินเก้า แต่ก็จะไม่ทำร้ายนาง
ดวงตาของพันหน้าสว่างขึ้น “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะรีบไปตรวจสอบทันที”
“แต่เราจะทำอย่างไรกับหนอนที่เหลือเจ้าค่ะ?”
หลายป๋ายยังคงกังวลใจและกลัวหนอนวูดูอยู่บ้าง
แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากนาง แต่นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ทำอะไรนะหรือ”โหลว ชิงอู๋ หัวเราะอย่างมีความหมายขึ้น
นิ้วมือเรียวของนางจับไปที่โถของหนอนวูดู ก่อนจะพูดขึ้น “เราจะให้นางได้ลองรสชาติของยาของนางเอง เราจะหาโอกาสในการใส่หนอนหนึ่งตัวเข้าไปในร่างของหยวนเฉิน ถ้านางไม่มีเจตนาที่ไม่ดี นางก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข แต่ช่วงเวลาที่นางตัดสินใจว่านางต้องการทำอะไรบางอย่าง นางก็จะจบชีวิตของนางเอง “
ถ้าสวรรค์มีคำว่าบาปกรรม มันก็เป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่
แต่ถ้ามันเป็นบาปกรรมของเจ้า … เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้!
นางให้โอกาสนางแล้ว แต่ถ้านางจะไม่รักษาพวกมันเอาไว้ แล้วเช่นนั้นก็ไม่มีใครจะสามารถช่วยนางได้
และมันก็เกือบจะถึงเวลาแล้วที่คนผู้นั้นจะมาที่จวนตระกูลโหลวด้วยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเช้า หลานป๋ายก็มาพร้อมกับข้อความ
“นายท่าน ผู้นำตระกูลหยวนมาขอพบท่าน เขารออยู่ในห้องโถงใหญ่แล้วในตอนนี้พร้อมกับนายท่านใหญ่เจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปจัดการกับเขา” กำหนดเส้นตายสำหรับการแลกเปลี่ยนอยู่ใกล้แล้ว ดังนั้นหยวน ซิวเหรินน่าจะเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามาพบนาง
“เจ้านาย ข้ากลัวผู้นำตระกูลหยวนจะ… “
“อย่ากังวล ข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตของข้าเนื่องจากความประมาท” ดวงตาของโหลว ชิงอู๋หรี่ลงเล็กน้อย
นางได้มาเกิดใหม่ และไม่มีใครที่ไหนที่จะรักชีวิตของนางมากกว่านางเอง
นางค่อยๆเดินช้าๆผ่านลานดอกไม้ไปจนถึงทางเข้าของประตูทางเข้าของห้องโถงใหญ่
ภายในหยวน ซิวเหริน และโหลว ชุยเฟิ่ง กำลังคุยกันอย่างมีความสุขราวกับว่าผู้เขาเกลียดอยู่อย่างเดียวที่พวกเขาไม่สามารถดื่มได้เป็นสามวันเพื่อแสดงความสนิทสนมของพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การแสดง
“ท่านพ่อ ท่านผู้นำหยวน”
โหลว ชิงอู๋ เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก่อนจะทำความเคารพพวกเขา
การแสดงออกของนางอบอุ่นและอ่อนโยน มีน้ำใจและเป็นมิตร
“ชิงอู๋เจ้ามาแล้ว มาๆ มานั่งนี่ ลุงหยวนเพิ่งกล่าวถึงเจ้าและบอกว่าเจ้ากำลังจะถึงวัยที่สมควรแก่การออกเรือนแล้ว และพูดถึงของขวัญที่จะมอบให้เจ้า “โหลว ชุยเฟิ่ง ลูบคางในขณะที่เขายิ้มเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นของบิดา
มันสมบูรณ์แบบมากจนไม่มีใครสามารถที่จะหาข้อบกพร่องได้
“ท่านกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” โหลว ชิงอู๋ นั่งลงไปที่ที่โหลว ชุนเฟิ่ง ชี้และลดศีรษะของนางลงและรอฟังพวกเขา
บางครั้งนางก็พูดเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น
หยวน ซิวเหรินเห็นว่ามันเกือบจะได้เวลาแล้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อ “ตัวข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะมีบางอย่างที่ข้าต้องการให้หลานชิงอู๋ ช่วยเหลือ ข้าหวังว่าน้องชายโหลว จะอนุญาต”
“ข้าจะไม่ได้อย่างไร?” โหลว ชุ่ยเฟิ่ง ยิ้มขึ้นราวกับสุนัขจิ้งจอก
เขาลุกขึ้นยืน “บังเอิญว่าข้ามีบางอย่างที่จะต้องไปทำ เช่นกันพี่ชายหยวยและชิงอู๋ ก็สามารถสนทนากันไปก่อนได้ แต่ท่านต้องอยู่รับมื้อกลางวันก่อนนะท่านพี่หยวน “
“แน่นอนๆ”
หยวน ซิวเหริน ก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติเขา
เขาสูงกว่าโหลว ชุยเฟิ่งและกลิ่นอายของเขาก็กดขี่โหลว ชุยเฟิ่งไปจนหมด
โหลว ชิงอู๋ ฟังพวกเขาอย่างเงียบๆและดวงตาของนางก็เผยให้เห็นการแสดงออกของความเยือกเย็นอยู่ข้างใน
“อ่า ชิงอู๋” เมื่อพวกเขาอยู่กันเพียงสองคนภายในห้องโถงใหญ่ หยวน ซิวเหรินก็ไอขึ้นเบา ๆ และพูดขึ้น “ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชีวิตเจ้าในเขตชนบทอยู่ดีหรือไม่? ตอนนี้เจ้าคุ้นเคยกับการอยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือยัง? ”
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ คนที่รับข้าไปเป็นคนที่จิตใจดีมีน้ำใจ ข้าจึงไม่ได้รับความทุกข์ทรมานใดๆ เมื่อข้ากลับมาที่เมืองหลวงทุกอย่างก็ราบรื่นดีเจ้าค่ะ “โหลว ชิงอู๋ตอบขึ้นอย่างสุภาพและระมัดระวัง
หยวน ซิวเหรินมองหน้านางและเห็นว่านางมีความเหมือนกันกับฮูหยินเก้าของเขามากแค่ไหน
เขาถอนหายใจในหัวใจของเขา
เพียงแค่ชั่วพริบตา หลายปีก็ได้ผ่านไปแล้ว