สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 1.4

ตอนที่ 1.4

บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ชิงหลัวชักดาบออกมาจากฝัก กางแขนขวางข้างหน้า และเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใครกล้าลองดีต่อหน้าท่านหญิง! ใครกล้าผลีผลามเข้ามาล่ะก็ ข้าจะตัดหัวมันก่อน!”

ฉางหลินถือเป็นคนสนิทของงฉู่ฉีฮุย เขารู้ว่าฉู่ฉีฮุยตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตักกับเรื่องนี้ เหตุใดต้องเกรงกลัวการข่มขู่นี้เขาจึงชักดาบออกมาทันที ผลักดาบยาวที่อยู่ในมือของชิงหลัวออกไป ก้าวเท้ามุ่งไปยังรถม้าคันนั้น

ชิงหลัวท่วงท่าแน่วแน่มั่นคง ใช้มือผลักอานม้ากระโดดลงมาในฝ่ามือเดียว จงใจแทงไปยังแผ่นหลังของฉางหลิน

ฉางหลินรีบป้องไว้ พลิกฝ่ามือขัดขวางการสังหารของนาง ต่อสู้เอาชนะนางด้วยใบหน้าที่เฉยชา

ขณะนั้นเหล่าทหารรักษาเมืองด้านในทราบข่าวก็วิ่งออกมา

ทั้งสองแววตาดุจดาบคม ทหารรักษาเมืองที่รออยู่ก็อกสั่นขวัญหาย รีบพาคนวิ่งเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองคน และเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หวงจ่างซุน ท่านหญิงสวินหยาง ได้โปรดออมมือ พวกท่านเป็นพี่น้องกันมีเรื่องอะไรเจรจากันดีๆ ได้หรือไม่? เหตุใดต้องใช้กำลังด้วย?”

เขาพูดไปก็จะให้ชิงหลัวเก็บดาบ

ชิงหลัวใยเลยจะไว้หน้าเขา นางบิดข้อมือดาบคมเกือบเฉือนนิ้วของทหารรักษาเมืองขาด

ทหารรักษาเมืองคนนั้นมองดูทั้งสองฝ่ายราวจะกินเลือดเนื้อกัน เหงื่อแตกท่วมตัวพูดวกไปวนมา “มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถอะขอรับ…”

วันนี้ฉู่สวินหยางอดทนได้ไม่ดีเอาเสียเลย ไม่มีกะจิตกะใจจะเสียเวลากับฉู่ฉีฮุยต่อไป รีบลงแส้ม้ามุ่งไปด้านหน้าพลางกล่าว “ท่านต้องการอะไรกันแน่? ท่านขวางทางข้ายังพอไหว แต่ยังใช้ดาบชี้หน้าข้าอีกรึ? หวงจ่างซุนท่านวางอำนาจบาดใหญ่เช่นนี้ วันนี้หากท่านไม่สามารถให้เหตุผลที่เหมาะสม เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างเราสองพี่น้อง รอไปถกปัญหาต่อหน้าท่านพ่อก็แล้วกัน!”

“เจ้าไม่ต้องเอาท่านพ่อมาอ้าง ครั้งนี้เจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่มีทางตามใจเจ้าหรอก!” ฉู่ฉีฮุยโต้กลับแววตาสะท้อนความเลือดเย็นจ้องรถม้าที่อยู่ข้างหลังนางตาไม่กระพริบพลางกล่าว “เจ้ากล้าขัดคำสั่งฮ่องเต้ แอบคุ้มกันนักโทษสถานหนักที่ฮ่องเต้หมายหัวไว้ออกจากเมืองหลวง สวินหยาง…ดูท่าท่านพ่อจะยอมให้เจ้ามากไป รักเจ้าจนไม่ลืมหูลืมตา!”

“ฮ่องเต้ทรงหมายหัวนักโทษสถานหนักงั้นรึ?”

ทุกคนได้ยินต่างประหลาดใจ แล้วกวาดสายตามองไปบนรถม้าคันนั้นพร้อมเพรียงกัน

“นักโทษอย่างนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มเมินเฉยไม่สะดุ้งสะเทือน เบนสายตาเยือกเย็นไปพลางเอ่ย “แต่ก็เป็นเพียงเรื่องภายในวังบูรพาของเรา พี่ใหญ่…ข้ารู้ว่าปกติแล้วท่านพ่อเอ็นดูข้าคงทำให้ท่านและเช่อเฟยไม่พอใจ แต่เรื่องราวในตระกูลที่ไม่ดีงามก็ไม่ควรแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ สิ่งที่ข้าพูดท่านควรตรองดูให้ดีก่อน หากเรื่องนี้แดงขึ้นมาคงส่งผลเสียต่อท่านไม่น้อย!”

ฉู่ฉีฮุยแววตาเป็นประกาย ใจพะวักพะวนอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับโต้เถียงกลับไป…

ฉู่สวินหยางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด!

นางต้องการจะคุ้มครองทั่วป๋าอวิ๋นจีออกจากเมืองหลวง นี่เป็นโทษอาญาฐานหลอกลวงฮ่องเต้ หากว่าครั้งนี้ทำสำเร็จ เช่นนั้นจะกำจัดนางก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ช่วงนี้ท่านพ่อ นับวันยิ่งไม่ค่อยอยากพบฉู่สวินหยาง ท่านแม่พูดถูกสองพี่น้องฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางเป็นกาลกินี จะต้องตัดรากถอนโคนกำจัดให้สิ้นซาก!

“ทำไมล่ะ เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ฉีฮุยสงบนิ่งยิ้มเยาะพลางเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าเจ้าน่ะตัวคนเดียวไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังอยากจะลากคนในวังบูรพามาเป็นแพะรับบาปหรืออย่างไร? ท่านพ่อโปรดปรานเจ้ามาก สถานการณ์แบบนี้เจ้ายังคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเจ้างั้นหรือ? เขารู้จักแยกแยะถูกผิด ข้าไม่อ้อมค้อมแล้วกัน วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้มารอเจ้าอยู่ที่นี่ เห็นแก่ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง…”

ฉู่ฉีฮุยโต้กลับไปทวีความเย็นเยือก แล้วชี้ไปยังรถม้าอย่างโหดเหี้ยมพลางเอ่ย “ส่งตัวคนที่อยู่ในรถให้ข้า พอกลับไปถึงเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว ข้าจะช่วยขอร้องให้ฝ่าบาทละเว้นชีวิตเจ้าเอง!”

คำพูดของเขาดูน่าเชื่อถือ ทว่าเนื่องจากฐานะของฉู่ฉีฮุยและฉู่สวินหยาง บรรดาทหารรักษาเมืองที่อยู่บริเวณนั้นไม่สามารถวางมือนิ่งเฉยได้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตีตลอดเวลาและแอบวางท่าอยู่อีกด้านยืนรวมกันอยู่ทางฝั่งฉู่ฉีฮุย คอยระมัดระวังฉู่สวินหยาง

ฉู่สวินหยางกวาดสายตามองทวนที่สว่างไสวราวกับหิมะรอบตัว แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นและยิ้มอีกครั้ง

“ช่างน่าขันสิ้นดี!” นางเผชิญหน้ากับฉู่ฉีฮุย แสร้งยิ้มพลางพูด “เดิมทีข้าได้รับมอบหมายจากท่านพ่อให้ออกจากเมืองหลวงไปทำธุระ เหตุใดจึงเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นเช่นนี้ ซ้ำยังส่งท่านมาขัดแข้งขัดขาข้าอีก บนรถม้าของข้าไม่มีนักโทษสถานหนักหรอก ท่านพี่…ข้าจะบอกให้อย่างหนึ่งนะ หากเรื่องนี้เป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของท่าน แล้วไม่คิดแยกแยะผิดถูก ท่านจงใจจะหาเรื่องข้าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ท่านจะเมินเฉยแสร้งว่าเป็นคำสั่งของท่านพ่อและฝ่าบาทเช่นนี้…”

ขณะที่นางพูดก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ยินยอมการกระทำของฉู่ฉีฮุยพลางเอ่ย “ช่างมันเถอะ!”

เรื่องในวันนี้ฉู่ฉีฮุยตัดสินใจวางแผนจัดการฉู่สวินหยางโดยพลการ ถึงแม้ค่อนข้างอันตราย แต่หากได้ตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีมา ต่อให้นางอมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ ถึงตอนนั้นฉู่ฉีเฟิงก็คงไม่เห็นใจช่วยนางแก้ต่าง ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วมหันต์ ฉู่สวินหยางอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ส่วนฉู่ฉีเฟิง…

หากเขาไม่ตายก็คงไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป!

ขณะที่เขากำลังคิดเขาก็ตั้งใจแน่วแน่ เขาโบกมือพลางพูด “อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของนาง รีบนำตัวนางไป!”

เหล่าองครักษ์ที่ถือทวนเตรียมเข้าโจมตี ฉู่สวินหยางกวาดสายมองไปรอบๆ อย่างเย็นยะเยือก และพูดอย่างเย็นชา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าทบทวนให้ดี พวกเจ้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้มาขัดขวางข้าไว้เช่นนั้นรึ?”

กองกำลังรักษาพระนครกลับไปอยู่ใต้อำนาจฉู่อี้อัน แต่เขาเป็นองค์รัชทายาท ไปตรวจการที่ศาลาว่าการพระนครได้สิบถึงสิบห้าวันถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่แล้วศาลาว่าพระนครจะเป็นคนจัดการหนังสือราชการที่สำคัญและส่งเข้าไปในวังให้เขาอนุมัติที่ตำหนักช่างหมิงเซวียนเอง

วันนี้ฉู่ฉีฮุยก็ไปศาลาว่าการพระนครกะทันหัน นำป้ายอาญาสิทธิ์ของวังบูรพาไปด้วย บอกว่าจะโยกย้ายกำลังทหารแปดร้อยนายตามเขาไปทำภารกิจนอกเมือง

ฉู่ฉีฮุยเป็นหลานของฮ่องเต้ ซ้ำยังเป็นลูกชายคนโตขององค์รัชทายาท ขอโยกย้ายกำลังทหารแปดร้อยนาย หากเป็นคำสั่งของฉู่อี้อันคงไม่มีปัญหาอะไร

แต่ว่าใครจะคิดว่าจุดประสงค์การโยกย้ายกำลังทหารก็เพื่อ…

แท้จริงก็เพื่อขัดขวางฉู่สวินหยาง!

สองพี่น้องต่างคนต่างความคิด จึงทำให้เหล่าทหารต้องรอปฏิบัติตามคำสั่งอย่างยากลำบาก ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนว้าวุ่นใจและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ฉู่ฉีฮุยมุ่งมั่นพยายาม ไม่ปล่อยให้นางถ่วงเวลาไว้ เปล่งเสียงดังขึ้นมา “ฉางหลินไปลากตัวคนที่อยู่ในรถม้ามาให้ข้า จับให้ได้คาหนังคาเขาพร้อมของกลางจะได้ดิ้นไม่หลุด ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมาไม้ไหนอีก!”

ฉางหลินเบี่ยงไปด้านข้างพลางพุ่งตรงไป ชิงหลัวเคลื่อนตัวจะเข้าไปขวางกลับช้าไปหนึ่งก้าวไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ฉางหลินวิ่งตรงไปยังรถม้าคันนั้นเอื้อมมือจะเปิดม่านประตูรถม้า

ฉู่สวินหยางสีหน้าโกรธเคือง ทันใดนั้นก็กระโดดจากหลังม้าขึ้นไปกลางอากาศ

ในเวลานั้นทุกคนเทความสนใจไปรวมอยู่ที่ฉางหลิน นางคล่องแคล่วว่องไวมากและพุ่งเข้าไปหาฉู่ฉีฮุยอย่างฉุนเฉียว

องครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้างกายฉู่ฉีฮุยตกใจมากจนหน้าซีด และเผลอยกทวนแทงไปในอากาศโดยไม่รู้ตัว แล้วร้องอย่างตกใจว่า “คุ้มกันหวงจ่างซุน!”

ฉู่สวินหยางยิ้มเย็นชาและสะบัดแขนเสื้อ นางสะบัดแส้นุ่มในมือออกไปพันทวนในมือขององครักษ์สี่คนไว้ด้วยกันให้หมด ในขณะที่พลิกตัวหย่อนลงมาแตะพื้นดิน นางก็พลิกมือกางแขนหนีบทวนไว้ที่ใต้รักแร้ ปลายทวนที่แหลมคมและเย็นเยียบยันอยู่กับลำคอของฉู่ฉีฮุยที่อยู่บนม้าพอดี หากเขากล้าขยับแม้แต่นิดเดียวทวนคงทิ่มทะลุกลางลำคอเลือดพุ่งกระฉูดแน่

ฉู่ฉีฮุยหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา และมองนางอย่างหวาดผวาและทำอะไรไม่ถูก

แม้ฉู่สวินหยางจะยืนอยู่ข้างม้า แต่กลับก้มมองเขาด้วยสายตาเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะขวางทางข้า?”

ฉู่ฉีฮุยรู้ดีว่าฉู่สวินหยางโหดเหี้ยมไร้ความปราณี ท่ามกลางสายตาทุกคนที่จ้องมองอยู่เขาก็โกรธพุ่งพล่าน

ทันใดนั้นก็มีแถวแสงไฟคดเคี้ยวยาวเหยียดออกมาจากในเมือง มีคนเปล่งเสียงแหลมทลายอากาศที่ว่างเปล่ายามราตรี

“ฮ่องเต้เสด็จ!”

———————————–

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท