สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 3.3

ตอนที่ 3.3

แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 3.3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (3)
บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกนั้นคือกองกำลังรักษาพระนครที่ฉู่ฉีฮุยพาออกไปก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยคนพวกนี้มีโทษฐานที่ทำให้เหลยเช่อเฟยได้รับบาดเจ็บ ทุกคนล้วนถูกหมายหัวไว้อยู่ ยามนี้จึงใจสั่นไหว คุกเข่ารอคำตัดสินอยู่ตรงนี้ หวังจะให้ฮ่องเต้ลงโทษสถานเบา แต่ฮ่องเต้งานล้นมืออยู่ทุกวี่ทุกวันเช่นนี้จะมีเวลาไปสนใจความเป็นความตายของพวกเขาเสียที่ไหน?

คนกลุ่มนี้คุกเข่ามาครึ่งค่อนวันแล้ว เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าฉู่ฉีฮุยจะออกมาก็พอจะรู้ความเป็นไป ถึงตอนนี้พวกเขาจึงคลานเข้าไปคำนับขอร้องใกล้ๆ ฉู่ฉีเฟิงโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ท่านจวิ้นอ๋อง พวกข้าหลับหูหลับตาลบหลู่ท่านหญิงเช่นนั้น ข้าสมควรตาย แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำสั่งของท่านชายจ่างซุน ข้าจึงต้องทำตาม เห็นแก่ที่พวกข้าบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ขอท่านช่วยกรุณาขอร้ององค์รัชทายาทให้เว้นโทษตายแก่ข้าด้วยเถิด!”

คนคนนั้นพูดไปก็จะจับชายชุดของเขา

สายตาของฉู่ฉีเฟิงเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนจะมองผ่านไปอย่างเย็นชาและเฉียบขาด

คนผู้นั้นใจสั่นระริก และรีบชักมือกลับในทันใด “ท่านจวิ้นอ๋อง…”

“พวกเจ้ามิได้รับคำสั่งจากท่านพ่อก็บุ่มบ่ามลงมือทำ แล้วยังมีเจตนาจะฆ่าน้องสาวข้าอีก หากความผิดเช่นนี้จะให้ลดหย่อน เห็นทีบ้านเมืองคงไม่ต้องมีขื่อมีแปแล้วกระมัง” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยพลางเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อย แล้วจึงก้มหน้าจัดปกเสื้ออย่างเยือกเย็นและสง่างาม ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทบจะทันที “ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังก่อคดีฆาตกรรมขึ้นมาอีก เช่อเฟยแห่งวังบูรพาโดนบ่าวที่ใจกล้าอย่างพวกเจ้ายิงตายแล้ว ตอนนี้พวกเจ้ายังกล้ามาขอร้องต่อหน้าข้าอีกหรือ?”

“เอ่อ…เอ่อ….” คนผู้นั้นกระสับกระส่าย

ตอนที่ร่างของเหลยเช่อเฟยถูกหามไป ทุกคนล้วนเดากันได้ว่าสตรีผู้นั้นคงไม่รอดแน่ และยามนี้นางก็ตายไปแล้วจริงๆ เมื่อทุกคนรู้ข่าวก็เหมือนกับโดนคนฟาดศีรษะด้วยไม้กระบอง สูญเสียสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไปทันทีและเริ่มลนลานขึ้นมา

ฉู่ฉีเฟิงไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ จึงหันไปตำหนิองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูวังอย่างเฉยชาว่า “พวกเจ้าเห็นว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน ถึงปล่อยให้พวกเขาคุกเข่ากวนใจประชาชนอยู่ตรงนี้? อีกเดี๋ยวหากมีเรื่องซุบซิบนินทาเล็ดลอดออกไป แล้วฝ่าบาทกล่าวโทษ พวกเจ้ามีหัวพอให้รับผิดชอบหรือ?”

“ขอรับ เพราะพวกข้าบกพร่องในหน้าที่ จะรีบไล่ไปบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ!” หัวหน้าองครักษ์ที่เฝ้าประตูตกใจ รีบเรียกทหารกองหนึ่งเข้าไปตะโกนขับไล่เหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเสียงแหบ

คนพวกนั้นทำตามคำสั่งของฉู่ฉีฮุย แม้จะต้องสงสัยว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แต่นอกจากนักธนูร้อยกว่าคนนั้นที่พัวพันกับคดีของเหลยเช่อเฟยแล้ว ผู้อื่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม แล้วก็ไม่กล้าก่อเรื่องในตอนที่แต่ละฝ่ายเริ่มแก่งแย่งชิงดีกันอย่างรุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน พอโดนองครักษ์ไล่ก็แยกย้ายกันไปแล้ว แต่นักธนูร้อยกว่าคนยังคงอยู่ตรงประตูวังอย่างหวาดกลัวและไม่สบายใจมากจนไม่ยอมจากไป

“ท่านจวิ้นอ๋อง พวกข้าล้วนทำตามคำสั่ง ท่านชายจ่างซุนเป็นถึงราชนิกุล พวกข้าก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาน่ะสิขอรับ!” หัวหน้าคนหนึ่งยังพยายามขอร้องอย่างเต็มที่ “อีกทั้ง…ยามนั้นคำสั่งของท่านหญิงก็ไม่ชัดเจน พวกข้าเองต่างก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในรถจะเป็นเช่อเฟย มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับ…”

“หมายความว่าอย่างไร? นี่เจ้าจะโบ้ยกลับมาโทษท่านหญิงของข้าอย่างนั้นหรือ?” ชิงเถิงนั้นเป็นคนเลือดร้อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตวาดถามกลับในทันที

คนเหล่านั้นขอเพียงให้ตนหลุดพ้น อะไรก็ไม่สนทั้งนั้น จึงหดคอละล่ำละลักเอ่ย “ท่านหญิงชี้แจ้งไม่ชัดเจนจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับ…”

“แล้วท่านหญิงของพวกเราไม่เคยเกลี้ยกล่อมพวกเจ้าเลยหรือ?” ชิงเถิงจ้องจนตาถลน พลางตวัดแส้หางม้าที่อยู่ในมือไปทางคนพวกนั้น ด่าทอเสียงแข็ง “บอกไปหมดแล้วว่าเป็นเรื่องภายในวังบูรพาของพวกเรา แต่พวกเจ้ากลับไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ แล้วก็ลงมือสังหารคนตามใจชอบ ยามนี้ลงมือทำร้ายเหลยเช่อเฟยยังไม่มีสำนึก ซ้ำยังจะใส่ร้ายป้ายสีท่านหญิงของพวกเราอีกหรือ? พวกเจ้ามันบังอาจมากจริงๆ!”

“ข้ามิกล้า ข้ามิกล้า!” คนผู้นั้นใจสั่นตึกตัก ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องที่องค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องออกหน้าปกป้องท่านหญิงสวินหยางขึ้นมาได้ พอรู้ตัวว่าตนพลั้งปากพูดอะไรออกไปก็รีบขอขมาลาโทษทันที

ทว่าฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้ให้โอกาสให้เขาพล่ามอีก สั่งการเสียงนิ่ง “คุมตัวพวกมันกลับไปที่กองกำลังรักษาพระนครและฝากเหลียงอวี่ไว้ก่อน รอท่านพ่อว่างมาจัดการ!”

เมื่อพูดจบก็ขี้เกียจจะพูดมากอีก จึงหมุนตัวขึ้นรถม้าไปทันที

หลังจากเข้าเฝ้าตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวที่หวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุยกระทำผิดต่อเบื้องบน และถูกถอดยศปลดเป็นสามัญชนก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องด้วยเป็นข่าวอื้อฉาวภายในราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงสั่งให้ปิดปากให้สนิท อีกทั้งฉู่ฉีเฟิงเล่นลูกไม้ข่มขู่และขังทหารของกองกำลังรักษาพระนครที่พัวพันกับคดีเอาไว้หมดแล้ว ผู้อื่นที่รู้เรื่องต่างก็กลัวว่าพูดแล้วจะนำภัยมาแก่ตน จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ พอจะพูดถึงอีกทีก็เลือนรางไปมากแล้ว บอกได้แค่ว่าผิดต่อเบื้องบน และไม่ได้บอกรายละเอียดไป

แต่เรื่องที่ฮ่องเต้ออกจากวังนั้นแพร่ไปทั่ว ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามทางแตกตื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจู่ๆ ความวุ่นวายนอกประตูเมืองทางทิศใต้ก็ถูกคนขุดออกมาแอบวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ก็ทำได้เพียงคาดเดารายละเอียดเท่านั้น

เมื่อฉู่หลิงอวิ้นได้ยินข่าวก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก มือไม้อ่อนไปครู่หนึ่ง ขนาดถ้วยชาเนื้อหยกขาวที่หลัวฮองเฮามอบให้ในมือยังทำตกพื้น จนน้ำชากระเซ็นโดนชายกระโปรงเปียกปอน

“ฉู่ฉีฮุยถูกถอดยศ? เหตุใดจึงปุบปับเช่นนี้? เกิดอะไรขึ้นกัน?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถามระรัว ไม่ทันได้สนใจคราบเปื้อนบนตัวแต่อย่างใด พอลุกขึ้นได้ก็เตรียมจะออกไปทันที “ไปเตรียมรถม้า ข้าจะกลับจวนอ๋องบัดเดี๋ยวนี้”

ฉู่ฉีเหยียนรู้ข่าวสารฉับไวมาโดยตลอด บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้

“ท่านหญิง!” จื่อเหวยวิ่งเหยาะๆ ตามไปพลางเอ่ย “ยามนี้ท่านเข้าวังไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ไปดูฮองเฮาเสียก่อนเถิด ทางซื่อจื่อ ข้าจะไปส่งข่าวแทนท่านก่อน ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”

ฉู่หลิงอวิ้นหยุดฝีเท้าขมวดคิ้วมองนางอย่างสงสัยได้พักหนึ่ง ก็ถึงบางอ้อขึ้นมาในไม่ช้า “เสด็จย่าเป็นอะไรไปอีกหรือ?”

“เย็นวานนี้ เมืองฉู่ส่งข่าวแบบด่วนที่สุดมายังพระนคร ได้ความว่าผู้บัญชาการหลัวบาดเจ็บหนัก บัดนี้สิ้นลมไปแล้ว” จื่อเหวยเอ่ย “พอหลัวฮองเฮารู้ข่าวก็กระอักเลือดออกมาคำโต แต่คืนวานจู่ๆ ฝ่าบาทก็ออกวัง ต่อมาก็ได้เกิดเรื่องของ

ท่านชายจ่างซุนขึ้นอีก และข่าวนี้ก็ถูกปิดไว้ ข้าก็เพิ่งได้ข่าวเมื่อครู่เจ้าค่ะ!”

“หลัวอี้สิ้นลมแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นสูดหายใจลึกถามด้วยความตกตะลึง

ลอบทำร้ายหลัวอี้เป็นแผนการของฉู่ฉีเหยียน แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลัวอี้จะสิ้นชีพไปเลยเช่นนี้

“ยืนงงอะไรอยู่อีก? รีบไปเตรียมรถและยื่นตราเข้าวังสิ” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ฉู่หลิงอวิ้นก็รีบเอ่ยสั่ง

ยามนี้หลัวฮองเฮากำลังร้อนรุ่มในอก อยากจะเป่าหูให้ฮองเฮาทำเรื่องอะไรคงไม่มีโอกาสอื่นที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

จื่อเหวยรับคำและรีบไปเตรียมรถให้ฉู่หลิงอวิ้นเข้าวังไปเยี่ยมฮองเฮาในทันใด

—————————————————–

ฮ่องเต้เพิ่งกลับมาจากที่เข้าเฝ้ารอบเช้า เมื่อย่างเข้าห้องทรงอักษรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหลี่รุ่ยเสียง “ได้ข่าวจากคนที่ส่งไปตามหาผู้หญิงโม่เป่ยแล้วหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงก้มหน้าหนี เมื่อตั้งสติได้ก็กลั้นลมหายใจ แม้เสียงที่เอ่ยยังแผ่วเบาลง “เมื่อวานหลังเที่ยงคืนขบวนคณะทูตของโม่เป่ยถูกรั้งไว้กลางทาง แต่เมื่อกองทหารองครักษ์เข้าค้นก็มิพบร่องรอยของทั่วป๋าอวิ๋นจี นาง…เหมือนจะมิได้ไปกับขบวนคณะทูตขอรับ!”

ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงในทันที สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เปลี่ยนแปลงใดใด บีบนิ้วมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อจนเกิดเสียงดังแล้ว

หลี่รุ่ยเสียงรีบคุกเข่าลงอย่างไม่รีรอ แม้นคำอธิบายก็ไม่กล้าหลุดออกมาสักคำ

ฮ่องเต้ยืนอยู่เพียงผู้เดียวในตำหนักใหญ่นั้น นัยน์ตาเป็นประกายเพลิงอยู่เช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ เขายืนเงียบไปนานมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก้าวเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง และนั่งอ่านฎีกาต่อหลังโต๊ะ

หลี่รุ่ยเสียงยังคงคุกเข่าอยู่ด้านนอกไม่ขยับไปไหน

ฮ่องเต้เขียนพู่กันอย่างเร็วมาก และจัดการฎีกาอยู่ข้างในจนเลยบ่ายไปแล้วถึงจะวางพู่กันลง เขามองไปด้านนอกไกลๆ ก่อนเอ่ยสั่ง “คำสั่งลับเรียกตัวซื่อหรงกลับมา!”

เดิมทีเขาวางแผนให้ทหารแฝงตัวเข้าไปในราชสำนักโม่เป่ยและลอบฆ่าอ๋องโม่เป่ย โดยโยนความผิดให้ทั่วป๋าไหวอัน ทำให้เขาสูญสิ้นการสนับสนุนจากขุนนางและประชาชนชาวโม่เป่ย พอถึงตอนนั้นแต่ละเผ่าของโม่เป่ยไม่พอใจทายาทผู้สืบทอดผู้นี้ ก็จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายภายในอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาดันมาเปลี่ยนแผน…

พี่น้องทั่วป๋าทั้งสองอยู่ใต้จมูกเขา พวกเขายังรอดตัวออกไปได้ปลอดภัยทีละคนๆ ทั้งที่เขาตั้งใจวางแผน เล่ห์เหลี่ยมของผู้นี้…..

ไม้นี้ไม่แน่อาจได้ผล แต่หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะทำให้เกิดการต่อต้านได้ง่าย

“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่ลุ่ยเสียงที่คุกเข่ามาตลอดช่วงเช้าจึงค่อยๆ ก้มหน้าก้มตาลุกขึ้นและหันตัวออกไป

หลี่รุ่ยเสียงเพิ่งไปได้ไม่นาน อารมณ์โกรธแค้นที่ฮ่องเต้อดทนกดทับมาตลอดยามเช้า สุดท้ายก็มิอาจจะเก็บไว้ได้เขาระเบิดอารมณ์ทุบโต๊ะ ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโต๊ะตัวนั้น

สายตาของเขาคล้ายกับปีศาจกระหายเลือด มืดทะมึนกล้ำกลืนประกายเพลิงสีแดงแห่งความแค้นนั้นไปจนหมด

สุดท้ายเขาก็พิงพนักเก้าอี้ที่อยู่หลังกาย ปิดเปลือกตาลงไม่เอ่ยคำใด เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกกลั้นใจเดินเข้ามาอย่างระวัง “ฝ่าบาท อาการของฮองเฮามิค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ จะทรงเสด็จไปเยี่ยมหน่อยหรือไม่?”

“นางเป็นอะไรไปอีก?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่าย

——————————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน