สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 3.1

ตอนที่ 3.1

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 3.1 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (1)
บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (1)
โดย
Ink Stone_Romance

เมื่อโดนโทษฆาตกรรมมารดาหมายหัว เขาก็จบเห่แล้ว

แม้ฮ่องเต้จะใจกว้างไม่ถือสาเอาความ ทว่าชะตาก็ลิขิตแล้วเช่นกันว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นมลทินที่เขาต้องแบกรับไปตลอดชั่วชีวิตและไม่อาจลบล้างได้

ไม่มีผู้สืบทอดราชวงศ์ไหนสามารถแบกรับโทษฐานและคำครหาเช่นนี้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้

ฉะนั้น…

ชั่วชีวิตนี้ชะตาก็ลิขิตแล้วว่าเขาจะไม่มีวาสนากับตำแหน่งนั้นแล้ว

ฉู่ฉีฮุยร่างสั่นสะท้านหวั่นไหว สีหน้าดำมืดยิ่งกว่าขี้เถ้า ในใจพลันรู้สึกว่างเปล่าในชั่วพริบตา

“เลว!” ฮ่องเต้สบถด่าอย่างโมโห แล้วโยนฎีกาลงไปกระแทกหน้าอีกหลายเล่ม เย่าสุ่ยจึงรีบคลานเข้าช่วยเก็บ

“ตระกูลฉู่ของข้าไม่มีลูกหลานอกตัญญูที่ทำเรื่องชั่วตามใจชอบอย่างเจ้า ฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง เจ้ามันช่างน่ารังเกียจนัก!” ฮ่องเต้ด่าทอด้วยความโกรธเคือง

เดิมทีฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยพอใจฉู่ฉีฮุยสักเท่าไรอยู่แล้ว หากอยู่เฉยๆ ก็ว่าไป แต่ยามนี้กลับก่อเรื่องเสียหายเช่นนี้ ฮ่องเต้ที่กำลังโกรธพลุ่งพล่านเกือบจะหลุดพูดคำว่า ‘ประหาร’ ออกไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำขอของฉู่อี้อันที่

ขอเขาไว้เมื่อครู่ สุดท้ายจึงฝืนยับยั้งความโกรธนั้นไปได้เกินครึ่ง

“หลี่รุ่ยเสียง ร่างราชโองการถ่ายทอดคำสั่ง!” ฮ่องเต้เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น แต่ยังคงเอ่ยอย่างโมโหเช่นเดิม “หวงจ่างซุนไร้ศีลธรรม ฆ่ามารดาของตนเองมีความผิดมหันต์ ข้าเห็นแก่ที่เขาไม่ได้เจตนา จึงเว้นโทษตายให้เขา ดังนั้น…ถอดยศเป็นสามัญชน เนรเทศไปเมืองกานทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก!”

ฉู่ฉีฮุยเหงื่อตกเต็มหน้าผาก แม้นี่จะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่เขาสามารถตั้งตาคอยได้ในเวลานี้แล้ว หลังจากผิดหวังแล้วเขาก็อ่อนแรงไปทั้งตัว จนแทบจะคุกเข่าไม่ไหวแล้ว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ฉู่ฉีฮุยคำนับขอบคุณอย่างสับสนงุนงง และรู้สึกเหมือนว่าเขาแทบจะหมอบลงไปกับพื้นทั้งตัวจนจะลุกไม่ขึ้นแล้ว

ฮ่องเต้โบกมือด้วยความรังเกียจ “เอาตัวไป!”

เขาฆ่ามารดาแท้ๆ ของตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่รายงานข่าวเท็จและหลอกให้ฮ่องเต้ออกจากวังนั้นทำให้ฮ่องเต้โกรธจนยังจำได้อยู่ จึงสั่งให้คนนำตัวเขาไปขังเอาไว้ก่อนที่เขาจะถูกคุมตัวไปจากเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ และไม่อนุญาตให้เขากลับไปที่วังบูรพาอีกแล้ว

หลี่รุ่ยเสียงกวักมือไปทางนอกตำหนัก แล้วองครักษ์สองนายก็เข้ามาหามตัวฉู่ฉีฮุยออกไปข้างนอกทันที

ฮ่องเต้ยังไม่หายโกรธสนิท เขากวาดตามองพวกฉู่อี้อันสามคนพ่อลูกอีกครั้ง สีหน้ายังคงฉายความเศร้าออกมาอย่างชัดเจน

“ลูกสั่งสอนเขาไม่ดี ทำให้เขาก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกไปด้วยเถิด” ฉู่อี้อันเอ่ยและคารวะฮ่องเต้อย่างจริงจังอีกครั้ง

“เป็นเพราะสวินหยางบุ่มบ่าม จึงทำผิดไป และยังทำให้เสด็จปู่ทรงกริ้วไปด้วย สวินหยางละอายใจเพคะ!” ฉู่สวินหยางก็คุกเข่าคำนับกับพื้นไปด้วยเช่นกัน

ฉู่ฉีเฟิงคุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ…..

มิใช่ว่าเวลานี้เขาไม่อยากออกหน้าปกป้องฉู่สวินหยาง แต่เขากับฉู่ฉีฮุยก็เป็นพี่น้องกันเช่นกัน พี่ชายได้รับโทษ เขามองดูอยู่ข้างๆ อย่างเฉยชา หากยามนี้รีบช่วยให้น้องสาวของตนเองรอด จะต้องทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ และจะได้ไม่คุ้มเสีย

ฮ่องเต้กวาดตามองทั้งสามคนอีกรอบ สุดท้ายกลับหยุดสายตาอยู่ที่ฉู่อี้อัน

“พรุ่งนี้เจ้าส่งสาส์นมาให้ข้าหนึ่งฉบับ อธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้มาให้ชัดเจนทั้งหมด” ฮ่องเต้ด่าใส่หน้าฉู่อี้อันไปเช่นกัน “ต้องดูแลครอบครัวให้ดีก่อน ถึงจะปกครองแคว้นได้ แล้วถึงจะทำให้ใต้หล้าสงบสุขได้ เจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท แม้แต่ลูกของตนเองยังสั่งสอนได้ไม่ดี วันหลังจะทำให้ขุนนางศรัทธาและประชาชนอุ่นใจได้อย่างไร?”

ว่ากันตามตรงแล้วฉู่อี้อันเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ในด้านการว่าราชการก็มองการณ์ไกลและคิดรอบคอบมาก ส่วนพฤติกรรมและศีลธรรมของตัวเขาเองนั้น…..

นอกจากเป็นขี้ปากชาวบ้านเพราะแต่งตั้งชายาเมื่อหลายปีก่อนแล้วก็เป็นคนที่เป็นองค์รัชทายาทได้ไร้ที่ติจริงๆ

อย่างน้อยที่สุดฮ่องเต้เองก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ ในบรรดาโอรสทั้งหมดของเขา ไม่มีใครจะโดดเด่นไปกว่าฉู่อี้อันอีกแล้ว

ฉะนั้นตอนนี้ที่ควรด่าก็ด่า แม้จะเป็นแค่การตำหนิที่ดูเหมือนรุนแรงมาก แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ได้รุนแรงเลยเท่านั้นเอง

ฉู่อี้อันรับฟังอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้สอนไปได้ครู่หนึ่งก็เหนื่อยแล้ว จึงโบกมือและเอ่ย “ออกไปให้หมดเถอะ!”

“ลูกขอทูลลา!”

“ฉีเฟิงทูลลา/สวินหยางขอทูลลา!”

ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะและมองภาพเงาด้านหลังของทั้งสามคนเดินออกไปข้างนอก จนกระทั่งทุกคนออกไปจากห้องทรงอักษรแล้ว ถึงเอ่ยกับหลี่รุ่ยเสียง “ไปสืบมาหน่อย!”

ฉู่ฉีฮุยเหมือนไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ แล้วฮ่องเต้ก็รู้ข่าวเช่นกันว่าก่อนหน้านี้เขาเข้ากับฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางไม่ค่อยได้ หากบอกว่าเขาจะโกรธเกลียดฉู่สวินหยางเพราะเรื่องของเหลยเช่อเฟยก็คงไม่เกินไปนัก เพียงแต่…

การระดมกำลังกันขนาดนี้ อาจจะสวมรอยเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีและเชิญตนเองไปก็ได้…

เรื่องนี้ก็เหมือนจะวุ่นวายเกินไปแล้ว

“ขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำ และถือแส้หางม้าถอยออกไปอน่างนอบน้อม

ตั้งแต่ออกจากห้องทรงอักษรมา ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงก็เดินตามหลังฉู่อี้อันมาพักหนึ่งแล้ว แต่ฉู่อี้อันก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

แม้อุปนิสัยของเขาจะไม่ค่อยพูดจาอันใดอยู่แล้ว แต่ความเงียบในยามนี้ก็ยังทำให้พี่น้องทั้งสองรู้สึกกดดันทวีคูณ

ฉู่สวินหยางอยู่ไม่สุข ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาและเอ่ยทำลายความเงียบว่า “ท่านพ่อ ข้า…”

“ข้ายังมีงานที่ตำหนักช่างหมิงเซวียนที่ยังจัดการไม่เสร็จ ข้าต้องไปก่อน” ฉู่อี้อันยังคงสาวเท้าต่อไป และเอ่ยตัดบทเสียงทุ้มโดยไม่รอให้นางพูดจบ “ฉีเฟิง เจ้าพาน้องสาวของเจ้าออกจากวังไปก่อน รอข้าที่ประตูวังสักครู่ ข้าไปเดี๋ยวก็มา!”

เขาเดินอยู่หน้าสุด จึงไม่มีใครเห็นสีหน้าท่าทางของเขาทั้งนั้น แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูไม่มีเงื่อนงำใดใด

อย่างไรเสียฉู่ฉีฮุยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง แม้จุดจบในวันนี้ของฉู่ฉีฮุยจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวและไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่อี้อัน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกร้อนตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

“ท่าน…” นางตามไปอีกครั้ง ทว่าตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็โดนฉู่ฉีเฟิงรีบเข้ามาดึงไว้ก่อน

“ขอรับ ท่านพ่อ ลูกกับน้องจะไปรอท่านที่หน้าประตูวัง!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยพลางส่ายหน้าส่งสัญญาณให้นางว่าอย่าเพิ่งใจร้อนไป

ฉู่อี้อันก้าวเดินอย่างมั่นคง เลี้ยวแยกไปอีกทางไม่นานก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว

ฉู่ฉีเฟิงเห็นฉู่สวินหยางยังเหม่อมองไปทางนั้นจึงดึงแขนเสื้อของนางเอ่ย “ไปก่อนเถอะ!”

“อืม!” ฉู่สวินหยางตอบเสียงทุ้ม และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองทางเดินที่บิดาเพิ่งจากไปอีกรอบ หลังจากนั้นก็เดินไปทางประตูวังกับฉู่ฉีเฟิงอย่างเงียบๆ

หลี่รุ่ยเสียงเดาไม่ผิด หลังเที่ยงคืนหิมะก็ตกลงมาจากฟากฟ้าอีกจริงๆ หิมะตกไม่หนัก บางครั้งก็พรมลงมาเป็นหยดบางตา ไร้ซึ่งสายลมพัดโชย จึงไม่ได้หนาวเท่าไรแล้ว

ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้เรียกเกี้ยว สองคนพี่น้องยังคงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกไปทางประตูวังอย่างเงียบเชียบ

ค่ำคืนอันเงียบสงบ ทางเดินยาวเหยียดไร้ซึ่งผู้คน เกล็ดหิมะเกาะตัวเป็นชั้นบางๆ บนพื้น เมื่อต้องแสงจันทร์กลับทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา…

ขณะที่งุนงงนั้น เหมือนกับท้องฟ้าสว่างมากแล้ว

เพราะมัวแต่คิดถึงความรู้สึกของฉู่อี้อัน ฉู่สวินหยางจึงขมวดคิ้วเป็นปมตลอดและไม่ผ่อนคลายสักที

ฉู่ฉีเฟิงที่เดินอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นน้องสาวทำหน้าเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็อย่าโทษตัวเองไปเลย วันนี้เขาตกอยู่ในมือเรา อย่างไรก็ดีกว่าถูกคนอื่นลากเข้าไปพัวพันในวันข้างหน้า ส่วนท่านพ่อ…เรื่องนี้มีสาเหตุ เขาไม่มีทางโทษเจ้าหรอก!”

ฉู่อี้อันไม่มีทางโทษนาง แม้นางจะทำเกินไปจริงๆ เขาก็จะไม่ตำหนิ เพียงแต่….

ถึงอย่างไรฉู่ฉีฮุยก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา

ฉู่อี้อันไม่ใช่ฮ่องเต้ เขารักและทะนุถนอมลูกสาวที่ไม่ได้ความเกี่ยวพันทางสายเลือดอย่างนางได้ขนาดนี้ อย่างไรในใจก็ไม่มีทางที่เห็นว่าฉู่ฉีฮุยเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงๆ

แต่ก็เหมือนที่ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย เรื่องมันผ่านมาแล้ว อีกทั้งนางก็ตัดสินใจทำมันลงไปแล้ว ก็ไม่เหลือทางให้ถอยหนีหรือเสียใจ

ฉู่สวินหยางหันไปคลี่ยิ้มให้เขา นับว่าได้ตอบเขาแล้ว

ฉู่ฉีเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าตอนที่อยากจะพูดอะไรอีก ฉู่สวินหยางก็เบนสายตาหลบไปทางอื่นก่อนอีกครั้ง

สองคนพี่น้องไม่ได้คุยอะไรกันตลอดทาง และเดินต่อไปอย่างเงียบๆ อีกไปพักใหญ่

“นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่ข้าให้แก่เขาแล้ว” นานมาก อยู่ๆ ฉู่สวินหยางก็โพล่งออกมา สายตาจดจ้องมองตามฝีเท้าที่เดินหน้าไปทีละก้าวๆ

ในขณะที่ไม่ได้สังเกตนั้น ฉู่ฉีเฟิงที่เดินเคียงข้างนางมาตลอดกลับหยุดฝีเท้าไปตั้งแต่เมื่อใดแล้วก็ไม่รู้

ฉู่สวินหยางยังเดินต่อไป ทว่าเดินห่างไปได้สามจั้งถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้ตามมา

นางเผลอหันไปมอง…..

ท่ามกลางแสงไฟสลัวสองข้างทางเดิน บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดขาวสะอาดยืนนิ่งเงียบ

สายตาของเขาเหมือนปกติที่เคยเป็น สงบและอ่อนโยน โดยเฉพาะมุมปากเหมือนกับยกยิ้มอย่างธรรมชาติ มักจะทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

ท่ามกลางความเงียบในเวลานี้ นัยน์ตาของเขากลับสุขุมและลุ่มลึกมาก แฝงไว้ด้วยประกายความเคร่งขรึมที่เห็นได้น้อย

ฉู่สวินหยางยืนห่างออกไปสามจั้ง นางค่อยๆ เงยหน้ามองเขาและยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป?”

ฉู่ฉีเฟิงไม่ปริปาก เพียงแค่มองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปนหลากหลายความรู้สึกอย่างลุ่มลึก

ครู่ใหญ่…เขาจึงก้าวเดินมาทางนาง

ฉู่สวินหยางยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับไปไหน รอเขาเดินมาใกล้

ฉู่ฉีเฟิงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง

ทั้งสองอายุราวคราวเดียวกัน แต่ฉู่ฉีเฟิงสูงกว่า เขาสูงกว่านางเกือบหนึ่งช่วงหัวได้

ฉู่สวินหยางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบสายตาของเขาที่ทอดมองลงมา

วาโยพัดกระโชก จนผมเผ้าของทั้งสองพลิ้วไหว

ฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ ยกมือทัดผมให้นางด้วยความทะนุถนอมอ่อนโยน

เขาขยับมือช้ามาก แต่กลับเยือกเย็นและคุ้นเคยมาก

ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด ขนตายาวงอนทั้งสองข้างกะพริบปริบๆ เหนือดวงตานั้นประทับภาพเงาอ่อนแอเอาไว้ ทำให้สีหน้าของนางแลดูเลือนรางและไม่จริง

————————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท