สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 11.3

ตอนที่ 11.3

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 11.3 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (3)
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (3)
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อพูดจบเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบม้านำหน้าผู้ติดตามเขาทั้งสองคนไกลพ้นออกไป

ฉู่หลิงอวิ้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง

นางคอตกเมื่อถูกส่งตัวออกจากเมืองไป ในใจคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด แต่หากนางไม่ไป…

หากเป็นจริงตามที่ฉู่ฉีเหยียนพูดล่ะก็ นางยังคงอยู่ที่นี่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตนเองขายหน้า!

ทางด้านฉู่หลิงอวิ้นขณะที่กำลังพะวักพะวนอยู่ ก็มีเสียงแช่งด่าของหญิงคนหนึ่งที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน “เจ้ามันเลว! เจ้าทำให้ตระกูลจางของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าจะสู้จนตัวตาย!

ไม่ต้องหันหลังไปมองนางก็รู้ทันทีว่าเป็นฮูหยินจางและจางอวิ๋นเจี่ยนกำลังเดินมา

เวลานี้นางไม่ได้อยู่ที่ห้องทรงพระอักษร ทุกคนต่างมีสัญชาตญาณระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฮูหยินจางพูด นางดูราวกับสัตว์ร้ายตัวเมียตัวหนึ่งที่คลุ้มคลั่งร้องคำรามแล้วกระโดดพุ่งเข้ามา

ทหารคุ้มกันที่ฉู่ฉีเหยียนให้ติดตามมาด้วยก็รุดหน้าไปฉุดดึงฮูหยินจาง

ตอนนี้ตระกูลจางก็ไม่มียศศักดิ์ ส่วนฮูหยินจางก็กลายเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เหล่าทหารคุ้มกันไม่รอช้าจ้องมองนางไม่คลาดสายตา แล้วกดนางคว่ำลงกับพื้น

“โอ๊ย!” ฮูหยินจางล้มลงไปนอนบนพื้นร้องอุทานออกมา

“ท่านแม่!” จางอวิ๋นเจี่ยนและภรรยารีบวิ่งกรูเข้าไปพยุงฮูหยินจางขึ้นมา

ฮูหยินจางก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่านางไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วยังแผดเสียงกึกก้องร้องกระวนกระวาย

จางอวิ๋นเจี่ยนนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องมองฉู่หลิงอวิ้น แววตาร้ายกาจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนางอย่างเลือดเย็น

เมื่อครู่ฉู่หลิงอวิ้นขวัญผวา นางถูกเขาจ้องเขม็งจนขนหัวลุกชาไปทั่ว หมุนตัวตะกายขึ้นม้าหนีไปโดยไม่พูดสักคำ

—————————–

ณ จวนอ๋องหนานเหอ

ฉู่ฉีเหยียนนำคนมาเพิ่งลงจากม้า พ่อบ้านก็โค้งคำนับตั้งแต่อยู่ในบ้านแล้ววิ่งออกมา “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือขอรับ”

“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนขาไม่หยุดก้าวเดินไปพลางตอบกลับ สาวก้าวเท้ายาวเดินตรงเข้าไป

สีหน้าฉู่อี้หมินไม่สู้ดีนักเต็มไปด้วยโทสะที่สามารถปะทุได้ทุกเมื่อนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เห็นเขาผลักประตูเข้ามาก็พูดน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้านำตัวนังหญิงถ่อยนั่นไปส่งแล้วรึ?”

“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย แต่กลับไม่แยแสในหัวข้อสนทนานี้ เขาไม่สนใจว่าฉู่อี้หมินมีทัศนคติอย่างไรต่อฉู่หลิงอวิ้น เพราะว่าภูมิหลังของฉู่หลิงอวิ้นเกิดที่จวนอ๋องหนานเหอความจริงนี้ไม่อาจแก้ไขได้ ไม่จำเป็นจะต้องปวดศีรษะกับเรื่องเช่นนี้

พอฉู่อี้หมินพูดถึงเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นก็รู้สึกหายใจติดขัดจึงพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า “ครั้งนั้นตอนที่อยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเจ้ามีอะไรจะพูดรึ?”

“ใช่!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ “แผนการของท่านอ๋องข้ารู้ดี แต่ว่าตอนนี้ข้าว่าเรื่องของวังบูรพา เราไม่สมควรเข้าไปก้าวก่าย ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ เรื่องที่ท่านกับข้านึกขึ้นได้ มีหรือฝ่าบาทจะเดาไม่ออก? ตอนนี้เราพูดมากไปผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ซ้ำยังก่อให้เกิดข้อกังขา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ สังเกตจากการกระทำของคนวังบูรพาก็รู้แล้ว!”

ฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวง ตอนนี้อายุมากขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวน

ฉู่อี้หมินชั่งใจไตร่ตรอง แม้ว่าในใจร้อนรนแต่ก็คิดว่าคำพูดของฉู่ฉีเหยียนฟังดูมีเหตุผล จึงผงกหน้าพลางเอ่ยว่า“อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”

นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังลูกชายของตนเองอีกครั้ง คิดอีกหนและกำลังอ้าปากพูด “เรื่องของฉู่ฉีฮุย…”

“ข้าก็ไม่รู้” ฉู่ฉีเหยียนตอบกลับไป “ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ข้ายืนยันคำพูดเดิมว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อที่จะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วย เรื่องนี้เราคอยดูอยู่ห่างๆ ก็พอ ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าคิดว่าสำหรับเราแล้วทำกำไรเป็นกอบเป็นกำเชียว เรื่องอื่นท่านไม่ต้องอยากรู้หรอก”

ฉู่อี้หมินขมวดหัวคิ้วแสดงออกว่าเขาไม่เชื่อใจ “ไม่ใช่เจ้าจริงๆ…”

“ไม่ใช่ข้า!” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ

“งั้นก็ดี!” ฉู่อี้หมินเห็นเขาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ทำอย่างขอไปที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขานวดวนขมับพลางพูด “ชั่วชีวิตของเขาที่ยากได้เจอก็คือเรื่องพรรค์นี้ ขอเพียงไม่เกี่ยวโยงกับเจ้าก็ดีแล้ว”

คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้กำลังกล่าวถึงฉู่อี้อัน

เป็นพี่น้องแท้ๆ กันมาหลายสิบปี เขาปฏิบัติต่อฉู่อี้หมินดั่งคนเป็นพี่เป็นน้อง ลักษณะนิสัยของพี่ชายตนเองเขาย่อมรู้ดีไม่แพ้ใคร ฉู่อี้อันวางตัวปฏิบัติต่อบุตรของตนเองอย่างฉู่ฉีฮุย ไม่เหมือนกับฉู่สวินหยางที่รักใคร่โปรดปรานแม้แต่น้อยแต่ท้ายที่สุดเขาทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง

“ลูกเข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เห็นเขาเผยสีหน้าที่อิดโรย “ท่านพ่อเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด!”

“ก็ได้!” ฉู่อี้หมินพยักหน้า สองพ่อลูกลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ

ฉู่อี้หมินไปยังห้องแต่งตัว ส่วนฉู่ฉีเหยียนก็เดินผ่านห้องหนังสือของลานบ้าน

ขณะนั้นหลี่หลินกำลังพาตัวทหารคุ้มกันคนรูปร่างเล็กรอฉู่ฉีเหยียนอยู่

“ซื่อจื่อ!” พวกเขาเห็นฉู่ฉีเหยียนกลับมารีบโน้มคำนับ

“เกิดอะไรขึ้น? เรื่องที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าไปทำมีปัญหาหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ

เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่กับฉู่อี้หมินเขาไม่ได้พูดความจริง…

ความจริงแล้วเขาเป็นคนส่งคนไปสังเกตการณ์ลอบฆ่าฉู่ฉีฮุย กอบโกยประโยชน์จากคนๆ นี้หลอกใช้ให้ได้มากที่สุด ส่วนคำพูดของฉู่อี้หมินที่มีความกังวลต่อฉู่อี้อัน…

ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อีกแล้ว

ใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจะได้รับ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะต่อสู้กับวังบูรพาเพื่อช่วงชิงบัลลังก์นั้น ความลังเลเหล่านี้ควรที่จะเลิกล้มไปให้สิ้น ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่จะลงมือไม่ควรยั้งมือหรือลังเลเป็นอันขาด นี่เป็นหนทางสู่การเป็นผู้ชนะที่ได้เป็นเจ้า และหากแพ้ต้องกลายเป็นโจร หากวันนี้เขาไม่ลงมือ วันหลังจะต้องพ่ายแพ้ อีกฝ่ายไม่มีทางใจอ่อนละเว้นชีวิตแน่นอน

ทว่าแม้ฉู่อี้หมินจะเป็นกังวล เขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งโดยอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุผลในการปิดบัง

“เกิดเรื่องขึ้นจริงขอรับ” ทหารคุ้มกันรูปร่างเล็กนามว่าต่งเหลียงอี้ ข้าตอบว่า “ข้าน้อยไปช้าหนึ่งก้าว หวงจ่างซุน…พวกเราไม่ได้เป็นคนสังหารเขา!”

ฉู่ฉีเหยียนสายตาเพ่งมอง ในมือที่ถือถ้วยชาแล้วนิ่งไปชั่วขณะ “ไม่ใช่เจ้า? แล้วเป็นใคร?”

“ไม่ทราบขอรับ!” ต่งเหลียงอี้ตอบว่า “ตอนกลางดึกที่ข้าน้อยรีบพาคนติดตามไปหวงจ่างซุนเขาได้ตายไปแล้ว พยานปากที่รอดชีวิตก็ตายหมดแล้ว อีกทั้งยังไม่พบเบาะแสร่องรอยแต่อย่างใด เดิมทีข้าน้อยอยากตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุว่ามีเบาะแสหรือไม่ แต่ต่อมาคนของศาลาว่าการพระนครก็โผล่มา เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกข้าน้อยจึงรีบกลับมารายงานขอรับ!”

ฉู่ฉีเหยียนถือถ้วยน้ำชาในมือ มือของเขาคลึงเคล้นผิวภายนอกของถ้วยน้ำชา ผ่านไปนานก็ยังไม่พูดออกมาสักคำ

จนแล้วจนรอดเขาก็วางถ้วยชาลง หยิบเอาผ้ามาเช็ดมือพลางเอ่ย “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”

จนกระทั่งประตูห้องหนังสือปิดสนิท หลี่หลินสีหน้าเป็นกังวลเอ่ยปากถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือคังจวิ้นอ๋องจริงๆ หรือ?”

ฉู่ฉีเหยียนกระตุกมุมปาก แววตาเผยท่าทีสนใจขึ้นมา ถามกลับไป “ก็ใช่น่ะสิ หรือว่า…จะเป็นฉู่ฉีเฟิงจริงๆ งั้นรึ?”

นิสัยใจคอของฉู่อี้อัน เขารู้ดี ฉู่ฉีเฟิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?

ถือเสียว่าฉู่ฉีฮุยไม่อาจกระทำการใหญ่สำเร็จ แต่ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นถึงพี่น้องที่ร่วมพ่อต่างมารดา หากฉู่ฉีเฟิงเป็นคนทำจริงๆ…

เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเสี่ยงไปสำหรับเขาหรอกหรือ?

ถึงแม้ว่าเขาจะมีเหตุผลที่จะกำจัดฉู่ฉีฮุย แต่พอเป็นเช่นนี้กลับกระตุ้นให้ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขากับฉู่อี้อันดูมีพิรุธแม้ว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย?

แต่ถ้าไม่ใช่ฉู่ฉีเฟิง…

นอกจากตนเองแล้ว จะมีใครต้องการจะเดินหมากผลุบๆ โผล่ๆ ใส่ร้ายป้ายสีฉู่ฉีเฟิงเช่นนี้อีก?

ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย หลี่หลินท่าทางสูญเสียความรู้สึกเฉยเมยที่มีเมื่อก่อนเคยเป็นไป เขาใจร้อนดั่งไฟเดินไปเดินมาอยู่ในห้องแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อตัวทหารคุ้มกันฉกฉวยข่าวที่หวงจ่างซุนถูกลอบทำร้ายไปรายงานก็คือคังจวิ้นอ๋อง ก่อนหน้าเขาเสียน้ำแรงเพื่อจะเอาชีวิตท่านหญิงฉู่สวินหยางให้ตายคาที่ สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมจึงเปลี่ยนความคิด? เขาอาจจะมีแผนสำรองหรืออุบายที่เตรียมกันเอาไว้หรืออย่างไร?”

พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนก็เย็นชากล่าวว่า “มีอะไรที่ยากจะเข้าใจหรือ? เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้พี่ใหญ่มีชีวิตอยู่อีกเพียงแค่หนึ่งวัน แต่สำหรับอ๋องหนานเหอ นางถือเป็นภาระใหญ่หลวง นางถูกฮ่องเต้เกลียดชัง ซ้ำยังสูญเสียความโปรดปรานจากหลัวฮองเฮา การที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นเสี้ยนหนาม ต่อแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าใครหน้าไหนเพียงแค่นึกถึงอ๋องหนานเหอต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงนาง จะว่าไปอุบายนี้ของฉู่ฉีเฟิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก เขาต้องการจะดึงเอาอ๋องหนานเหอลงมาตกหลุมพรางจนไม่อาจรอดไปได้!”

หากดูวิธีการวางแผนของฉู่ฉีเฟิง ความตั้งใจเริ่มแรกของเขาคล้ายกับว่าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะเอาชีวิตฉู่หลิงอวิ้น แต่สุดท้ายโอกาสที่สำคัญก็มาพลิกฉับพลัน จึงต้องเปลี่ยนแปลงกลอุบายอีกครั้ง

เพราะเหตุใด? เป็นเพราะเขาวางแผนไว้นานแล้ว?

หรือเป็นเพราะคิดขึ้นมาได้กะทันหัน?

ในสมองของฉู่ฉีเหยียนเปล่งรัศมีออกมา ส่งผลให้การหายใจระงับฉับพลัน…

ฉู่ฉีฮุยถูกฆ่า ฉู่ฉีเฟิงจึงเร่งรีบนำข่าวนี้ไปเปลี่ยนแปลงแผนที่เขาเคยวางไว้ ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นรอดชีวิตมา ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกการตายของฉู่ฉีฮุยทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้หยิบเอาข่าวร้ายที่บังเอิญเกิดขึ้นพอดิบพอดีนี้ เป็นเครื่องมือในการวางแผนครั้งใหม่ ส่วนอีกหนึ่งความเป็นไปได้…

————————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน