สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 11.4 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (4)
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ข่าวอุบัติเหตุการตายของฉู่ฉีฮุยไปกระตุ้นโทสะของฉู่ฉีเฟิง ดังนั้นจึงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ โดยการใช้ฉู่หลิงอวิ้นมาดึงชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอให้ตกลงมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งในครั้งนี้เขาต้องการคิดบัญชีกับสกุลจวนอ๋องหนานเหอแทนงั้นหรือ?
การกระทำของฉู่ฉีเฟิงช่างทำให้สับสนงุนงงยิ่งนัก!
ฉู่ฉีเหยียนกำลังครุ่นคิดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
หลี่หลินไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเขา เพียงแต่กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด แล้วเอ่ยปากถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจะส่งท่านหญิงฉู่หลิงอวิ้นไปวัดก่วงเหลียนหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนเรียกสติกลับมา แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
หลี่หลินก็รีบก้มหัวลงพลางละสายตามองต่ำลง
“ให้นางไปเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก
หลี่หลินเห็นว่าฉู่ฉีเหยียนไตร่ตรองถี่ถ้วนจึงไม่ได้พูดอะไร เขาโน้มตัวโค้งคำนับพลางถอยหลังแล้วเดินออกไป
ฉู่ฉีเหยียนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นเงาตะคุ่มๆ ก็ฝืนยิ้มเยาะออกมา
สำหรับจวนอ๋องเหอหนานการมีชีวิตอยู่ของฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้มีความหมายใดใดอีกต่อไปแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่สู้ยอมตายอย่างไร้มลทิน หากเขาต้องการจะปกป้องนางจริง เช่นนั้นก่อนหน้าไม่จำเป็นต้องรอให้ฉู่ฉีเฟิงเปลี่ยนความคิดแล้วเขาค่อยออกหน้า แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น และบังคับตัวเองมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนั้นเขาก็พายเรือตามน้ำรอให้ปัญหาของฉู่หลิงอวิ้นพลอยสิ้นสุดลงพร้อมๆ กัน
เขามีความรู้สึกฉันท์พี่น้องต่อฉู่หลิงอวิ้น แต่ความรู้สึกนี้ไม่สามารถเทียบเท่ากับการวางแผนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นยามที่ฉู่หลิงอวิ้นกำลังตกที่นั่งลำบากเขาจึงเลือกที่จะยืนมองดูอย่างนิ่งเฉย
เมื่อครู่หลี่หลินแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า หากฉู่หลิงอวิ้นยังคงชีวิตอยู่ต่อไปเขาจะต้องรับภาระอันหนักอึ้งนี้ เขาควรที่จะตัดสินใจเด็ดขาด แต่ว่า…
เขาตัดสินใจเลือกที่จะยืนมองดูฉู่หลิงอวิ้นกระเสือกกระสนอย่างเลือดเย็น แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือด้วยตนเอง
ฉะนั้นในเมื่อดวงยังไม่ถึงฆาต เช่นนั้นก็แค่ปล่อยนางไป!
ฉู่ฉีเหยียนบอกกับตัวเองเช่นนี้
————————————-
ณ วังบูรพา
ศพของฉู่ฉีฮุยก็ได้ถูกคนของศาลาว่าการพระนครนำกลับมายังเมืองหลวง
ในค่ำคืนของวันที่เกิดเหตุ เดิมทีฉู่สวินหยางเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะนอนแล้ว แต่พอได้ยินข่าวนี้ก็ใจหายตั้งนานกว่าสติจะกลับมา
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฉู่สวินหยางสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้วหันไปมองชิงหลัวที่กำลังเดินเข้ามานำข่าวมารายงาน “เจ้าว่าใครตายกัน?”
“หวงจ่างซุนตายแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ สีหน้าของนางแสดงออกแฝงความหวั่นใจ “คนของจวนหย่งโจวส่งศพกลับมา ตอนนี้ไปถึงจวนแล้ว ได้ยินว่าจวนหย่งโจวอยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมที่เขาถูกลอบสังหาร องครักษ์จึงนำร่างเขาลงมาทางตอนใต้เพื่อส่งร่างไร้วิญญาณ!”
ฉู่สวินหยางมีปฏิกิริยาตอบสนองครู่หนึ่ง ตอนนั้นสติของนางก็กลับมาครบถ้วน รีบตอบกลับไปว่า “เร็วเข้า เปลี่ยนเสื้อให้ข้าเร็ว!”
ชิงเถิงวิ่งไปหยิบชุดมา เด็กสาวสองคนรีบใส่ชุดให้นางมือไม้เป็นระวิง
ฉู่สวินหยางใจเต้นตึกๆ ไม่เป็นจังหวะ…
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับฉู่ฉีฮุยในครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ ทุกอย่างพุ่งประเด็นไปที่วังบูรพาของพวกเขาอย่างแน่นอน นั่นก็คือฉู่ฉีเฟิง!
เมื่อก่อนเหตุใดฉู่สวินหยางถึงคิดไม่ถึงประเด็นนี้ นึกว่าตอนนี้ฉู่ฉีฮุยกลายเป็นคนไร้ค่าจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของเขา!
“ท่านพ่อล่ะ? ท่านรู้เรื่องนี้หรือยัง?” นางรีบร้อนสวมเสื้อพลางถามว่า “แล้วท่านพี่กลับมาแล้วหรือยัง?”
“พ่อบ้านเจิงไปเชิญองค์รัชทายาทแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบ “คังจวิ้นอ๋องถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตอบกลับมา แต่ว่าเรื่องใหญ่อย่างนี้ ผู้ว่าการพระนครจะต้องมาที่วังหลวงชี้แจงเรื่องการตายก่อนแน่นอน เมื่อได้รับการยินยอมจากฮ่องเต้แล้วถึงจะนำร่างของฉู่ฉีฮุยส่งกลับไป คาดว่าตอนนี้คังจวิ้นอ๋องคงน่าจะรู้ข่าวแล้วเจ้าค่ะ”
ในใจของฉู่สวินหยางสับสนวุ่นวาย เมื่อสวมเสื้อผ้าแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็รีบรุดไปยังลานหน้าบ้าน พอดีตอนนั้นนางกับฉู่อี้อันคลาดกันแค่นิดเดียว
มองออกไปไกลยังหน้าลานบ้านก็หยุดชะงักลงเมื่อเห็นร่างศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าห่อศพสีเหลือง ขณะที่ฉู่สวินหยางกำลังเผชิญหน้า ในใจก็เกิดความรู้สึกเป็นกังวลยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด แล้วตะโกนเรียกเขา “ท่านพ่อ!”
ฉู่อี้อันไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองแวบเดียวแล้วก็เดินต่อไป
พ่อบ้านเจิงเหงื่อโชกท่วมตัว จิตใจรุ่มร้อนกระสับกระส่ายเดินตามเขาไป
ฉู่อี้อันก้าวเดินมั่นคง ดูเหมือนกับอารมณ์ความรู้สึกสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกตกใจกับข่าวร้ายได้ยิน
ฉู่สวินหยางยืนมองแผ่นหลังกว้างของเขาจากด้านหลัง แต่ไม่รู้ว่าในใจเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทำให้นางสัมผัสได้ว่ามุมข้างหลังของเขานั้นให้ความรู้สึกหดหู่ใจก็ไม่ปาน
ฉู่อี้อันเดินไปยังผ้าห่อศพสีเหลืองแล้วยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
นี่เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา ต่อให้เขาจะไม่ได้เรื่อง แต่เขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของตน เป็นสายเลือดแท้ๆ ของตน
แต่ตอนนี้ ผ้าห่อศพสีเหลืองม้วนนี้วางอยู่บนร่างเย็นเยียบนอนแน่นิ่งไร้วิญญาณ…เป็นเขาจริงๆ ใช่หรือไม่?
“ขอแสดงความเสียใจกับองค์รัชทายาทอย่างสุดซึ้งด้วยขอรับ!” องครักษ์ที่นำร่างฉู่ฉีฮุยกลับมาส่งคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงอยู่ตรงหน้าฉู่อี้อัน ไม่กล้าหายใจแรง มีเพียงผู้บัญชาการองค์รักษ์ที่แสดงสีหน้าเปี่ยมด้วยความโศกเศร้าเป็นคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ
ฉู่อี้อันเงียบเชียบมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งองครักษ์หยุดพูดไปพักหนึ่ง เขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลงไปช้าๆ เอื้อมมือไปจับผ้าหุ้มศพสีเหลืองตรงมุมข้างหนึ่งเปิดออก
ข้างล่างเป็นร่างของฉู่ฉีฮุยนอนนิ่งไม่ไหวติง บนใบหน้าโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเลือด คงเป็นทางการที่เกรงว่าเรื่องนี้จะลากยาวจึงรีบนำศพส่งกลับ สภาพร่างกายของเขาไม่มีใครใส่ใจดูแล เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างถลนดูน่าสยดสยองนัก นัยน์ตาเป็นแสงเงาแตกฉานซ่านเซ็น มองออกชัดเจนว่าวินาทีก่อนที่เขาจะตายคงรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ฉู่สวินหยางไร้ความรู้สึกต่อฉู่ฉีฮุย แต่อย่างไรก็อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ใช้ชีวิตเติบโตมาพร้อมกันสิบกว่าปี ตอนนี้เห็นเขากลายเป็นร่างศพแข็งทื่อเยือกเย็นปานน้ำแข็งถูกยกเข้ามา ในใจก็รู้สึกอัดอั้น ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
ฉู่อี้อันคุกเข่าอยู่ข้างๆ ร่างของฉู่ฉีฮุย เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จานานสองนาน
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ฉู่อี้อัน พวกเขาต่างเป็นกังวลใจจนเหงื่อไหลท่วมตัวโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาคนนั้น…
หากว่าองค์รัชทายาทจะโกรธเคืองเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดอาจจะถูกลากออกไปตัดหัว ต่อให้หวงจ่างซุนถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว สายเลือดของฉู่ฉีฮุยเป็นผู้สืบทอดตระกูลไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี เขายังคงเป็นลูกชายแท้ๆ ขององค์รัชทายาท
ฮูหยินใหญ่และคนอื่นๆ ได้ยินข่าวก็รีบรุดออกมาจากท้ายเรือนตรงดิ่งมาที่นี่ บริเวณลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่เงียบสงัด ฉู่ฉีเฟิงเดินแหวกว่ายกลุ่มคนที่กำลังยืนมุงอยู่ออกมา โน้มตัวลงไปประคองไหล่ฉู่อี้อัน
“ท่านพ่อ!” เขากลับมาทัน เขาพยายามที่จะควบคุมเสียงลมหายใจตนเอง
ไหล่กว้างของฉู่ฉี้อันสั่นระริก แม้กระทั่งฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ข้างหลังเขายังสัมผัสได้
ต่อมาในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกไปปิดตาของฉู่ฉีฮุยที่เบิกกว้างค้างอยู่
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา ฉู่ฉี้อันก็ไม่ได้รั้งรอ เขาหันไปแล้วเดินไปยังห้องหนังสือท้ายเรือนพลางเอ่ยสั่งอย่างไม่โอนอ่อนว่า “เจิงจีเตรียมการจัดพิธีฝังศพเถอะ! ฉีเฟิงเจ้าไปเตรียมกระดาษเขียนแจ้งความประสงค์จัดพิธีฝังศพ พรุ่งนี้เช้าตรู่ส่งจดหมายเข้าไปในวัง เพื่อขอพระราชทานพิธีฝังศพของพี่ใหญ่เจ้า ส่วนเรื่องพิธีแสดงความไว้อาลัย ฮูหยินใหญ่เจ้ารีบไปจัดการ”
ระหว่างที่พูดเขาไม่ได้หันมามองหน้าและไม่ได้สบสายตาแม้แต่น้อย
พ่อบ้านเจิงสั่งให้บ่าวรับใช้นำร่างของฉู่ฉีฮุยไปจัดการตามพิธี แล้วส่งคนไปส่งพวกองครักษ์กลับไป ฮูหยินใหญ่…ต่างแยกย้ายกันกลับไปเตรียมการ
ก่อนที่จะจากไปฮูหยินใหญ่มองดูฉู่สวินหยางแวบเดียวด้วยสายตาที่สับสน แล้วก็ถอนหายใจจูงมือฉู่เยว่หนิงเดินไปหลังเรือน
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหว
ฉู่ฉีเฟิงเดินตรงมาทางที่นางยืนอยู่จวนเจียนถึงไหล่ของนางเขาก็หยุดก้าวเดิน ยกมือตบที่ไหล่ของนางพลางพูด “ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ!”
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางเม้มปากหันหน้าไปมองเขา
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร” ฉู่ฉีเฟิงยิ้ม รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขายิ้มให้ นางมองดูทั้งในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฉู่สวินหยางรู้ว่าตนเองไม่ควรสงสัยในตัวของเขา อีกอย่างนางไม่แม้แต่จะคิดสงสัยเขา แต่เรื่องนี้…
นอกจากนางแล้ว เกรงว่ากระทั่งท่านพ่อก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นคนลงมือ!
นางจ้องมองเขา ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด นางหันกลับไปซบที่ไหล่ของเขาแล้วกอดเขาไว้แน่นสุดกำลังพลางพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านพี่ ข้าเชื่อใจท่าน!”
ระหว่างที่พูดน้ำตาก็ไหลออกจากตาทั้งสองข้าง พาให้หัวไหล่ของเขาเปียกชุ่ม
————————————–