สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 11.2

ตอนที่ 11.2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 11.2 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (2)
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่ฉีเหยียนมุ่งตรงไปยังสองคนนั้น สายตามองผ่านใบหน้าของทหารคุ้มกันคนนั้นไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเร้น

ทหารคนนั้นกำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ฉีเฟิงก็ยกมือขึ้นมายั้งไว้พูดด้วยเสียงทุ้มลึก “กลับเมืองค่อยว่ากัน”

“ขอรับ!” ทั้งสองก็รู้ดีว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยจึงรีบปิดปากทันที แล้วเดินตามเขาไปยังรถม้าประจำตระกูล

ฉู่ฉีเหยียนกำลังเอี้ยวตัวขึ้นม้า ในประตูวังหลวงที่อยู่ด้านหลังเขาก็ปรากฏเงาของคนแซ่เจิ้งที่กำลังตามมาอย่างชุลมุนวุ่นวาย

“เหยียนเอ๋อร์!” คนแซ่เจิ้งตะโกนเรียก ทุกคนเบิ่งมองนาง ครั้งนี้นางลืมสงวนท่าทีเพียงเพราะว่านางเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวมาก จึงไม่อาจสนใจกิริยาท่าทางที่อาจดูไม่เหมาะสมของตนเองได้

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นมารดาที่แท้จริงของตนเอง ต่อให้ฉู่ฉีเหยียนไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่สามารถทำร้ายนางได้ เขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจะควบคุมสติและสงบปากสงบคำ

“ท่านแม่ ให้ลูกส่งท่านกลับเมืองเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนพูดพลางแอบสูดหายใจลึก แล้วกุมมือคนแซ่เจิ้งไว้

คนแซ่เจิ้งนัยน์ตาแดงก่ำ รอยน้ำตาบนใบหน้าก็ยังคงอยู่ นางผละมือเขาออกไป และมองดูด้วยดวงตาที่อึกอักพลางพูด “เหยียนเอ๋อร์เจ้าลองคิดหาวิธีดูว่าจะทำเช่นไรเพื่อไม่ให้พวกเขานำตัวพี่สาวเจ้าไป! แม่เหลือแค่เพียงพวกเจ้าสองคนเท่านั้น หากเหลือแค่คนใดคนหนึ่งแม่ก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!

เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นที่ก่อขึ้นครั้งนี้ช่างหนักหนานัก หากไม่ใช่เพราะว่าตอนสุดท้ายเกิดปัญหาขึ้น ตอนนี้นางคงกลายเป็นศพไร้วิญญาณไปแล้ว แต่ตอนนี้สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ

ในใจฉู่ฉีเหยียนรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมา

แหงนหน้าไปก็มองเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังประคองแขนขาที่บอบบางของฉู่หลิงอวิ้นออกจากประตูวังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

นางย่างก้าวทีละก้าว ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความสับสน สีหน้าอำมหิตที่มีพลังเปล่งประกายกลับทรุดโทรมไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

สีหน้าท่าทางเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง

แม้ว่าสองเดือนก่อนตอนที่ถูกจับได้ว่าเล่นชู้คาเตียงต่อหน้าสาธารณชนในสายตานาง…

ก็แค่แค้นใจแค่นั้น!

แต่ครั้งนี้รู้สึกล้มเหลวบอบช้ำเหลือแสน นางสูญเสียความโกรธแค้นเหล่านั้นไป

สำหรับพี่สาวคนโตคนนี้ ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหน้านางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ

เขากุมมือคนแซ่เจิ้งไว้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพูดไม่จา แต่ว่าในทางกลับกันกลับพูดปลอบใจว่า “หากนำตัวพี่ใหญ่ไปชะล้างร่างกายที่อารามสักระยะก็คงดีขึ้น ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ หากท่านแม่ต้องการยืนยันจะให้นางอยู่ในเมืองต่อ…อาจไม่เป็นผลดี”

ฉู่หลิงอวิ้นวางอำนาจกระทำการโดยพลการหลายครั้งหลายคราจนทำให้ฉู่อี้หมินเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากครั้งนี้ยังขัดคำสั่งเสด็จปู่อีก ด้วยนิสัยของฉู่อี้หมินแล้วนั้นแม้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ขัดขวาง หากเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาก็อาจจะกำจัดฉู่หลิงอวิ้นที่ทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้านี้ก็เป็นได้

คนแซ่เจิ้งเดิมทีไม่เพียงทนไม่ได้ที่ลูกสาวตนเองเดือดร้อน พอได้ยินเช่นนั้นในใจก็สั่นระรัวแล้วก็เอะอะโวยวายขึ้นมา

สุดท้ายฉู่หลิงอวิ้นก็ถูกสาวรับใช้ประคองเดินมาจนถึงที่

หลังออกมาจากห้องทรงอักษร ท่าทางของนางก็คล้ายกับไร้วิญญาณ เดินออกมาอย่างเมินเฉย ครั้งนี้ไปพบฉู่ฉี

เหยียนค่อยรู้สึกว่าสติกลับคืนมา นางค่อยๆ ลืมตาทีละนิดมองไปยังฉู่ฉีเหยียน

สองพี่น้องสายตาจดจ้องมองประสานกัน

ฉู่หลิงอวิ้นเม้มปาก ตามองต่ำทันใดนั้นก็มีแสงสว่างขึ้นมา เผยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาดั่งสภาพอากาศแปรปรวนมองดูฉู่ฉีเหยียน

น้ำตาคนแซ่เจิ้งพรั่งพรูลงมา กระโดดเข้าไปกอด ร้องไห้แทบขาดใจ “ลูกของแม่ เจ้าช่างอาภัพยิ่งนัก…”

แม้ฉู่หลิงอวิ้นจะถูกโอบกอดแน่น แต่ใบหน้าของนางก็ยังคงไร้ความรู้สึก นางไม่แม้แต่จะกระดุกกระดิก

แววตาของนางซึมเซาเฉื่อยชา หากเมื่อเพ่งให้ดี นางก็ดูเหมือนไม่ได้เศร้าสร้อยเสียทีเดียว แต่ยามที่นางมองสีหน้าของฉู่ฉีเหยียนกลับมีความสดชื่นแฝงอยู่เล็กน้อย

ฉู่ฉีเหยียนกับนางจ้องมองกันสักพัก แล้วเขาก็ก้าวไปข้างหน้าประคองไหล่คนแซ่เจิ้งพานางเดินไปอีกด้านแล้วส่งให้แม่นมกู้พลางเอ่ย “ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว เจ้าประคองนางขึ้นรถเถอะ ข้ามีเรื่องจะฝากฝังพี่ใหญ่สักหน่อย”

คนแซ่เจิ้งร้องไห้จนแข้งขาอ่อนดึงรั้งมือของฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมปล่อย

การลาจากของฉู่หลิงอวิ้นในครั้งนี้ เกรงว่าบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ยากที่จะได้หวนกลับมา นางเปรียบดั่งดอกไม้ที่เลอโฉมและมีค่าราวหยกมรกตและถูกชุบเลี้ยงจบเติบใหญ่ จะต้องใช้ชีวิตที่เหลือภายใต้แสงเทียนต่อหน้าพุทธองค์ คนแซ่เจิ้งจะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร?

“พระชายาขึ้นรถก่อนเถิดเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้ก็ขอบตาบวมแดง ฝืนดึงมือคนแซ่เจิ้งให้ผละออกจากนาง “ตอนนี้ฮ่องเต้ยังทรงกริ้ว รอผ่านไปสักระยะ หากคลายโทสะแล้ว พระชายาค่อยเข้าวังขอร้องฮองเฮาให้ทรงอภัยโทษ ฮองเฮาโปรดปรานนางมากเช่นนั้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”

คนแซ่เจิ้งก็รู้ว่านางหมดปัญญาที่จะรั้งไว้ได้ น้ำตาไหลนองแล้วถูกแม่นมกู้ประคองขึ้นรถไป

ฉู่ฉีหยียนยกมือขึ้นโบกเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้ที่ติดตามเขาถอยห่างออกไป

ร่างกายของฉู่หลิงอวิ้นยิ่งปรากฏชัดเจนว่านางรูปร่างผอมบาง ยืนเพียงลำพังท่ามกลางค่ำคืนที่ลมพัดเหน็บหนาว ราวจะถูกพัดล้มลงไป

นางมองดูฉู่ฉีเหยียนแล้วค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นประกาย แล้วหันหลังไปมองวังหลวงพลางพูดว่า “เจ้าเป็นคนสั่งให้คนไปจัดการใช่หรือไม่?”

ไม่ต้องพูดให้มากความ ฉู่ฉีเหยียนก็พอจะเข้าใจ

ฉู่ฉีเหยียนสีหน้านิ่งสงบและไม่ได้ปฏิเสธอะไร

ฉู่หลิงอวิ้นเพียงแต่มองเขาแต่ก็ไม่พูดไม่จา เวลาผ่านไปสักพักก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย นางรีบก้มหน้า หัวเราะปกปิดความรู้สึกพลางใช้แขนเสื้อซับน้ำตา “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้าไม่เหมือนกับปฏิบัติต่อผู้อื่น ฉีเหยียน เราเป็นพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน เรื่องครั้งนี้ทุกอย่างเจ้าเป็นคนวางแผนทั้งหมดใช่หรือไม่? เจ้าก็รู้ดีว่าอย่างไรข้าก็ต้องกระโดดลงไปในหลุมกับดักนี้ แต่เจ้ากลับเลือกที่จะมองดูไม่แยแสข้าเลยรึ? เจ้า…”

ขณะฉู่หลิงอวิ้นพูดเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างยากจะทนไหว

นางละสายตากลับมาแล้วมองใบหน้าแสนว่างเปล่าของน้องชาย สีหน้าว้าเหว่ระคนสับสนแล้วพูดว่า “แม้กระทั่งข้าเจ้ายังกล้าหลอกใช้รึ? ฉีเหยียน…นอกจากตำแหน่งที่เจ้าต้องการนั้นใต้หล้ายังมีอะไรให้เจ้าใช้ใจไปแลกมาได้อีก?”

นางราวกับลูกไก่ในกำมือที่ถูกคนบีบคั้นให้ตาย

หากบังเอิญไม่มีเรื่องฉู่ฉีฮุยเกิดขึ้นพอดิบพอดี ชาตินี้นางอาจจะต้องก้มหน้าชดใช้กรรมที่ถูกคนปัดสวะมาให้ แต่นางต้องใช้ชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน น้องชายแท้ๆ ของนางกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม เขาสั่งให้คนไปลอบสังหารฉู่ฉีฮุย เพื่อจุดชนวนให้ฮ่องเต้ทรงระแวงฉู่ฉีเฟิง

เขาอยู่เบื้องหลังคิดอุบายวางแผนชักใยบงการเรื่องทั้งหมดและไม่สนใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?

ฉู่หลิงอวิ้นตะโกนถามด้วยความรู้สึกโกรธแค้นฝังใจ

ฉู่ฉีเหยียนเพียงแค่มองนางนิ่งๆ สีหน้าของเขาสงบและไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย รอให้นางระบายความทุกข์ใจออกมาจนหมดแล้วจึงค่อยๆ อ้าปากถามกลับไปว่า “ถ้าหากข้าเตือนท่าน ท่านจะยอมฟังงั้นรึ?”

น้ำเสียงทุ้มต่ำสงบนิ่งเลือนรางพลางถอนหายใจ

ฉู่หลิงอวิ้นถูกเขาพูดดักทางไว้ น้ำตาที่ไหลรินก็หยุดภายในพริบตา

ฉู่ฉีเหยียนยังคงแสดงสีหน้าไม่ยินดียินร้ายเช่นเดิม เปิดเผยความจริงเหมือนทองไม่รู้ร้อน “…ตั้งแต่เล็กจนโตมานี้ ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องที่ท่านเห็นดีเห็นงาม ไม่มีทางแก้ไขได้ ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เหตุใดข้าต้องเปลืองน้ำลายด้วย? ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างท่านกับข้าจำเป็นต้องยกยอปอปั้นแสร้งว่ารักใคร่ปรองดองกันด้วยหรือ?”

หากเขาใช้เหตุผลในการติเตียนฉู่หลิงอวิ้นล่วงหน้าจะต้องทะเลาะวิวาทเป็นแน่ แล้วตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่มีแม้แต่โอกาสเหมาะที่จะถาม เพียงแต่ว่า…

ดูเหมือนว่าจุดจบเรื่องนี้คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย

เทียบกับการแสร้งเล่นละครตบตา ตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเริ่มจริงใจต่อกันมากขึ้น

ฉู่หลิงอวิ้นปากสั่น ในที่สุดก็ไม่มีคำพูดจะโต้ตอบ

ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยืนเป็นเพื่อนนาง ต่างนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา

ฉู่หลิงอวิ้นใช้พละกำลังที่มีอยู่ค่อยๆ ระงับอารมณ์จนสงบสติลงได้ สายตาสว่างสดใสและเงยหน้าประชันสายตากับฉู่ฉีเหยียนพลางพูด “เรื่องราวในวันนี้ ใครเป็นคนคิดร้ายกับข้ากันแน่?”

“เรื่องที่ส่งจดหมายไปยังจวนเฉินเป็นฝีมือเหยียนหลิงจวินที่จงใจแพร่งพราย ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น…”

ฉู่ฉีเหยียนพูดแล้วสูดลมหายใจลึก “เป็นลายมือของฉู่ฉีเฟิง!”

แรกเริ่มเหยียนหลิงจวินนำจดหมายส่วนตัวที่รายละเอียดข้างในมีความหมายกำกวมส่งไปเพื่อก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำ และจงใจส่งไปกระตุกหนวดเสือคนตระกูลจาง แล้วฉู่ฉีเฟิงก็ใช้กลยุทธ์ปล้นชิงตอนไฟไหม้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉู่อี้หมินต้องถูกคน ตระกูลจางสร้างความอับอายซ้ำยังทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะนั้นบังเอิญจางติ่งดันไปก่อเรื่องทุจริตเบี้ยที่จะนำไปซ่อมแซมเขื่อนพอดี ฉู่ฉีเฟิงจึงนำหลักฐานที่ใช้มัดตัวจางติ่งส่งมอบให้ฉู่อี้หมินรับต่อ ฉู่อี้หมินจะต้องนำหลักฐานเหล่านี้ไปเล่นงานและแก้แค้นคนตระกูลจางอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จึงบีบให้คนตระกูลจางไร้หนทาง จางอวิ้นอี๋กลายเป็นสุนัขจนตรอก ส่วนฉู่หลิงอวิ้นก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องครั้งนี้ นอกจากนี้ชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอก็พลอยด่างพร้อยไปด้วย

เป็นการแสร้งตีหน้าตาย ยืมดาบฆ่าคนที่ดีเสียยิ่งกระไร!

ในใจของฉู่ฉีเหยียนแสยะยิ้ม ใบหน้าไม่อาจคาดเดาได้แล้วพูดกับฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านถือเสียว่าหนีไปตั้งหลักก่อนเถอะ ทางด้านวัดกว่างเหลียนไว้วันหลังข้าจะส่งคนไปช่วยเตรียมการ ตอนนี้ท่านรออยู่ที่เมืองหลวงไปก่อน ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ท่านได้รับ หากว่าหลบไปสักพักน่าจะเป็นผลดีกับตัวท่าน!”

ฉู่หลิงอวิ้นอดกลั้นกัดฟันทนฟังเงียบเชียบ

ฉู่ฉีเหยียนเชื่อว่านางสามารถตัดสินใจแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อนาง ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลากับนางจึงพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องกลับไปสะสาง รถม้าและทหารคุ้มกันข้าได้จัดเตรียมไว้ให้ท่านแล้ว ท่านออกจากเมืองกลางค่ำกลางคืน ต้องระวังตัวให้มากล่ะ!”

———————————–

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน