สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 27.4

ตอนที่ 27.4

บทที่ 27 ฉู่ฉีเหยียน (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางชายตามองนาง ทั้งยังหยุดนางเอาไว้ “จวนกั๋วกงยังจะต้องยุ่งจัดการกับงานไว้ทุกข์พี่หญิงใหญ่ เผื่อว่ามีตอนที่ชุลมุนงานล้นมือขึ้นมา เจ้าก็คอยอยู่ช่วยงานที่นี่เถอะ หากมีอะไรที่ต้องการเร่งด่วนก็ค่อยกลับไปรายงานข้าที่จวน”

จวี๋เซียงนั้นไม่คาดฝันมาก่อน เผยใบหน้าซีดเผือด รีบร้อนกล่าวอย่างตื่นตระหนก “ท่านหญิง บ่าว…”

ฉู่สวินหยางกลับไม่รั้งรอให้นางได้มากความ ก้าวนำข้ามประตูออกไปก่อนแล้ว

จวี๋เซียงอยากจะตามไป ทว่ากลับถูกแม่นมหูเดินมารั้งด้านหน้าไว้อย่างเงียบเชียบ

รอจนเจิ้งเหวินคังนำฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียนออกจากเรือนไป ฮูหยินเจิ้งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นมาอย่างทันที “นังสารเลว ยังไม่คุกเข่าให้ข้าอีก!”

เดิมทีจวี๋เซียงก็แทบที่จะล้มลงกับพื้นอยู่แล้ว ร่างสั่นไหวทั้งมีเหงื่อผุดเต็มขึ้นบนใบหน้า

เจิ้งเยียนแต่เดิมทีสติไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยจึงไม่คาดคิดว่าคนที่ฮูหยินเจิ้งกล่าวว่าจะเป็นตน ถึงได้ยืนอยู่อย่างนั้น จวบจนฮูหยินเจิ้งปรายสายตาเย็นเยียบทิ่มแทงมา นางจึงค่อยตื่นตกใจ โพล่งปากออกไป “ท่านย่า…”

“คุกเข่าลงไป!” ฮูหยินเจิ้งไม่ยอมให้นางได้มากความ ทำหน้าตาถมึงทึงราวกับจะกินคน

เจิ้งเยียนใจสั่นไหว จึงค่อยทิ้งตัวคุกเข่าลงไป

หน้าประตูใหญ่

ฉู่สวินหยางเดินนำอยู่ด้านหน้ามาโดยตลอด จึงเป็นคนแรกที่ออกมาจากประตูจวนผิงกั๋วกง

เจิ้งเหวินคังและฉู่ฉีเหยียนอยู่รั้งด้านหลังประมาณสองก้าว ตลอดทางนั้นเจิ้งเหวินคังล้วนมีสีหน้ามืนมน ชำเลืองตามองไปยังฉู่ฉีเหยียนเป็นครั้งคราว ทว่าตอนที่กำลังจะเปิดปากพูดอะไรสักอย่างก็ยังคงสองจิตสองใจหยุดปากเอาไว้

เวลานี้เห็นว่าจะออกจากประตูแล้ว ในที่สุดเขาจึงกัดฟันกล่าว “ฉีเหยียน เจ้ารอก่อน!”

ฉู่ฉีเหยียนหยุดฝีเท้าไว้ เผินหน้ากลับไปส่งสีหน้าอย่างเป็นคำถามให้เขา

ขณะนี้ฉู่สวินหยางยืนอยู่หน้าประตู เจิ้งเหวินคังชายตามองนางทีหนึ่ง ดึงตัวฉู่ฉีเหยียนมาด้านข้างสองก้าว กดเสียงต่ำกล่าวถาม “วันนี้แท้จริงแล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

“หื้ม?” ฉู่ฉีเหยียนเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไร?”

“เจ้า…” เจิ้งเหวินคังถูกเขาทำให้พูดไม่ออก พลันอึ้งไปชั่วครู่ อย่างไรเขาก็ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเจิ้งเยียนทำเรื่องผิดมโนธรรม เช่นนั้นหรือจะพูดขอร้องอย่างมีเหตุผลกับอีกฝ่ายตรงๆ ให้ช่วยปิดบังแทนพี่น้องพวกเขาเลยเสียดีกว่า?

ฉู่ฉีเหยียนรออยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรแล้ว ก็หมุนกายสะบัดชายเสื้อก้าวเท้ายาวออกจากประตูมา

เจิ้งเหวินคังกำมือแน่นยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น

ฉู่สวินหยางที่สังเกตเห็นท่าทีของเขาจึงยิ้มที่มุมปาก กระโดดขึ้นหลังม้า ก่อนจะฟาดแส้ม้าออกไปโดยมีฉู่ฉีเหยียนตามหลังมา

จนกระทั่งทั้งสองคนออกจากตรอกมา เมื่อฉู่สวินหยางหันกลับไปถึงพบว่าเจิ้งเหวินคังยังคงยืนหน้าเขียวคล้ำอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ไม่ไปไหน

นางเหลือบมองฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านข้าง กล่าวอย่างหยอกล้อ “เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างจวนอ๋องหนานเหอและสกุลเจิ้งคงมิใช่ว่าหลุดมาจากปากเขาหรอกนะ?”

ฉู่ฉีเหยียนส่งเสียงเหอะในลำคอ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ท่าทีของฉู่ฉีเหยียนนับว่าแปลกอย่างเห็นได้ชัด จนถึงเวลานี้ฉู่สวินหยางจึงค่อยกระจ่างใจขึ้นมา…

การสมคบคิดระหว่างฉู่หลิงอวิ้นและเจิ้งเยียนเขามิอาจไม่รู้ได้ กลับปล่อยมันไปตามเรื่องตามราว เดิมทีนางยังคิดว่าเขาจะพายเรือตามน้ำ รอหลังจากที่เจิ้งเยียนลงมือกับฉู่เยว่เหยาแล้วค่อยใช้เรื่องนี้ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างจวนผิงกั๋วกงและวังบูรพาขึ้น

แต่ว่าเมื่อครู่ที่สกุลเจิ้ง เขาใช้เพียงลูกเล่นเล็กน้อย กลับไม่ได้ได้กดดันโจมตีพวกเขาจนหมดหนทาง ทั้งตอนสุดท้ายยังยอมถอยมาหนึ่งก้าว

ก้าวที่ถอยมานี้…

เป็นการปลุกปั่นให้ผู้อื่นได้ฉุกคิดอย่างจริงๆ!

สร้างความลำบากให้กับเจิ้งเยียนแต่เพียงผู้เดียว!

คนผู้นี้แข็งแกร่ง ทั้งยังชอบที่จะก้าวอยู่เหนือแผนการเพื่อควบคุมผู้คน จุดนี้ฉู่สวินหยางในชาติที่แล้วก็ได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งมาก่อน

พี่น้องสกุลเจิ้งครั้งนี้ นับว่าเตะถูกแผ่นเหล็กเข้าเสียแล้ว

เพียงแต่เพื่อเรื่องนี้แล้วฉู่ฉีเหยียนกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะใช้มันมาตัดขาดความสัมพันธ์ของเขาและสกุลเจิ้ง ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ฉู่สวินหยางคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

แต่ว่าที่เห็นได้ชัดคือฉู่ฉีเหยียนไม่อยากจะอธิบายอะไร

จวนผิงกั๋วกง

เจิ้งเหวินคังส่งสายตามองฉู่ฉีเหยียนและฉู่สวินหยางเดินลับตาจากไปแล้วจึงเร่งรีบกลับไปยังเรือนที่เขาและฉู่เยว่เหยาอาศัยอยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ พอกำลังจะข้ามประตูไปในเรือนก็ได้ยินเสียงเจิ้งเยียนสะอื่นไห้จากด้านใน

“ข้าเพียงแต่หาความเป็นธรรมแทนท่านแม่ของข้า ล้วนแต่เป็นนางที่สร้างความลำบาก ท่านแม่ของข้าจึงถูกเนรเทศไปที่นั่น เห็นได้ชัดว่าท่านย่าลำเอียง ปล่อยให้นังสารเลวนั่นกินดีอยู่ดีเสวยสุขอยู่ในจวน แต่เมื่อข้าขอร้องท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านกลับไม่ยอมปล่อยให้ท่านแม่ของข้ากลับมา”

เดิมทีนางก็เพียงน้อยใจเท่านั้น พอพูดถึงส่วนหลังก็อดไม่ได้ที่จะโมโหออกมา เผลอขึ้นเสียงสูงอยู่บ้าง “ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือ? หลังจากที่ฉู่สวินหยางมาหาท่านจึงเปลี่ยนใจ เป็นนางที่มอบประโยชน์ให้แก่ท่าน ท่านจึงเด็ดขาดกับท่านแม่เพียงนี้ ข้าทำเพื่อให้ท่านแม่สบายใจ นี่นับว่าไม่ถูกอันใด?”

“เจ้า…” ฮูหยินเจิ้งโกรธจนเสียงสั่น ทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ ชี้นิ้วอย่างโมโหไปที่นาง กลับมีเรื่องที่จะพูดมากมายแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากไหนก่อนดี

แม่นมหูที่เห็นเหตุการณ์เผยใบหน้าเยือกเย็นก่อนกล่าว “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินเป็นท่านย่าของท่าน เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนี้กับฮูหยินเล่า? ไม่เกรงว่าจะทำให้ฮูหยินเฒ่าเจ็บช้ำน้ำใจหรอกหรือ?”

“นั่นก็เป็นเพราะท่านย่าทำร้ายจิตใจข้าก่อน!” เจิ้งเยียนเถียงคอแข็ง เช็ดน้ำตาอย่างแรง ก่อนจะยืดตัวตรงมองไปยัง

ฮูหยินเจิ้ง “ใช่ ข้าเป็นคนทำ เป็นข้าที่ติดสินบนบ่าวที่เฝ้ายาม เป็นข้าที่ให้คนผลักนังสารเลวผู้นี้จมน้ำตาย แล้วก็เป็นข้าที่จ้างให้ จวี๋เซียงจงใจเอาเรื่องไปเผยแพร่ให้วังบูรพา ก็คือข้านี่แหละ เป็นข้าที่ทำเองทั้งหมด อย่างไรในสายตาท่านย่าแล้ว ข้าก็เป็นแค่หลานสาวที่สำคัญน้อยกว่าคนนอกอยู่แล้ว ท่านอยากจะโกรธ ก็จับข้าขังไว้เสียสิ”

ฮูหยินเจิ้งก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง หลายปีมานี้การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการวางแผนในอนาคตให้กับพวกเขาสกุลเจิ้ง เวลานี้กลับถูกหลานที่ไม่รู้เรื่องราวคนหนึ่งทำให้แผนทั้งหมดล้มไม่เป็นท่า ทั้งยังมีบางคำที่นางไม่สามารถเอามาพูดอย่างชัดเจนได้ ทันทีที่ลมตีขึ้นมาบนอก ก็แทบจะกระอักเลือดอยู่รอมร่อ

แม่นมหูเห็นนางเป็นเช่นนี้ แม้เจ็บปวดใจเป็นอย่างมากกลับทำได้เพียงแต่มองอยู่ด้านข้าง

เจิ้งเยียนยังคงเอ็ดตะโรอย่างมั่นใจในเหตุผลต่อไป

เจิ้งเหวินคังรู้สึกว่าเรื่องยิ่งน่าปวดหัวขึ้นมา จึงรีบเร่งเดินเข้ามาด้านใน ถลึงตาใส่เจิ้งเยียนหวังตักเตือน “ยังไม่หุบปากอีก เจ้าพูดเช่นนี้กับท่านย่าได้อย่างไร?”

“ข้าไม่ได้พูดผิด ที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง!” เจิ้งเยียนเชิดคอพูด ร้องไห้จนน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั้งหน้า “ท่านย่าลำเอียง ทั้งท่านด้วยพี่ใหญ่ ด้วยความเป็นลูกแล้วท่านก็ไม่แยแส ทนมองท่านแม่ตกระกำลำบากอยู่ที่นั่นได้ใช่หรือไม่?”

เจิ้งเหวินคังโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

เรื่องของคนแซ่หลินเพียงพอแล้วที่จะทำให้นางถูกทำโทษเนรเทศไปที่แห่งนั้น ทว่าเจิ้งเยียนก็มีบางคำที่พูดถูกอยู่เหมือนกัน นั่นคือแม่ของเขา แม้ว่าคนแซ่หลินมีความผิดเช่นไรเขาก็ไม่อาจกล่าวโทษได้หรอก

ฮูหยินเจิ้งรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจ ยกมือกุมขมับออกคำสั่งโดยเร็ว “ในเมื่อนางคิดขึ้นมา เช่นนั้นก็ทำตามความต้องการของนางเถิด นำนางกลับเรือนไปจับตาดูให้ดี จากนี้หากนางไม่ได้การยินยอมจากข้า ไม่อนุญาตให้นางก้าวเท้าออกเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”

ขณะที่พูดก็ราวกับไม่อยากจะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้อีกแล้ว จึงหยัดกายขึ้นแล้วเดินออกไปยังด้านนอก

เจิ้งเยียนร้องขอความเป็นธรรมแทนคนแซ่หลิน แต่กลับไม่คาดคิดว่าตนจะถูกดึงเข้าไปด้วยเช่นกัน เมื่อฟังจบก็อึ้งไปพักใหญ่ ตกตะลึงอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

———————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท