สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 18.2

ตอนที่ 18.2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 18.2 ไล่บี้อย่างไม่ลดละ พลิกสถานการณ์ (2)
บทที่ 18 ไล่บี้อย่างไม่ลดละ พลิกสถานการณ์ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
คำว่าจวนอ๋องฉางซุ่นที่หลุดออกมาไม่กี่คำกลับทำให้ทั้งห้องต่างพากันสูดลมหายใจ

ในใจของเหยาก่วงไท่สั่นสะท้าน เผยสีหน้าลังเลมองไปยังฉู่อี้อัน “องค์รัชทายาท ท่านว่า…”

“วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อเป็นผู้ฟังเท่านั้น ใต้เท้าเหยาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า จัดการไปตามขั้นตอนของท่านก็พอแล้ว” ฉู่อี้อันกล่าว กลับออกตัวให้เขาเป็นคนทำโดยตนเองมองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น

ฐานะของจวนอ๋องฉางซุ่นั้นก็ไม่ได้ธรรมดา ในตอนที่เหยาก่วงไท่กำลังพิจารณาตัดสินใจอยู่นั้น กลับไม่คาดคิดว่า

ฉู่สวินหยางจะร้อนใจ กล่าวอย่างโมโหขึ้นมา “ใต้เท้าเหยา ที่ท่านต้องการสืบสวนคือคดีที่ใต้เท้ากู้ถูกลอบสังหาร เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเสียแรงเจ้าหรอก หากเป็นดังที่หัวหน้ามือปราบตู้พูดมา ระหว่างข้ากับใต้เท้ากู้ก็เพียงผิดใจกันเล็กน้อยเท่านั้น ท่านคิดว่าข้าจะเอาเรื่องเล็กน้อยเท่าเม็ดถั่วเม็ดงานั้นไปสร้างความลำบากให้แก่ใต้เท้ากู้หรือ?”

“ท่านหญิง ข้าเพียงแค่ว่าไปตามเรื่อง” ตู้ฉางหมิงกล่าว แสดงท่าทีไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง กลับเห็นได้ชัดว่ายังแฝงด้วยความโมโหกับเรื่องการตายของกู้ฉางเฟิงอยู่บ้าง

ท่าทีของฉู่อี้อันที่นั่งหลังตั่งนั้นยังคงจิบชาด้วยใบหน้าราบเรียบ แทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโต้แย้งในการพิจารณาคดีแม้แต่น้อย

เหยาก่วงไท่ใช้หางตาเหลือบมองดูปฏิกิริยาของเขาหลายครั้ง กลับยิ่งพบว่าเขาแสดงท่าทางไม่สนใจ เช่นนี้ในใจเขาก็ยิ่งกังวลขึ้นมา

ภายใต้การโต้แย้งของสองฝ่าย ฐานะของชิงหลัวก็ยังมีจุดที่น่าสงสัย คดีความนี้เดิมทีก็ไม่สามารถหาข้อสรุปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ตรงหน้าของฉู่อี้อันและคนเหล่านี้

เหยาก่วงไท่ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่กล้าไล่เค้นอย่างจริงจัง เพียงแต่กล่าวไป “องค์รัชทายาท ในเมื่อเวลานี้เรื่องเกี่ยวพันไปถึงจวนอ๋องฉางซุ่น ข้าคิดว่าควรจะรายงานฝ่าบาท ให้พระองค์ได้ตัดสินพระทัยก่อนดีหรือไม่ขอรับ?”

ฉู่อี้อันหลับตาจิบชาอย่างไม่สนใจเขา…

ฝ่าบาทอยากให้เขาไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนล้วนแต่รู้ดี

คนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเรื่องถูกดึงไปพัวพันกับจวนอ๋องฉางซุ่นจึงไม่อยากร่วมจมโคลนไปด้วย ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไปไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาชั่วขณะ

เหยาก่วงไท่ร้อนรนจนหน้าผากปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น กัดฟันกล่าวกับมือปราบ “เจ้าจงเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ นำเรื่องที่เกิดขึ้นกราบทูลให้ฝ่าบาททราบ จากนั้นก็ส่งคนไปเชิญซูซื่อจื่อมาที่นี่!”

“ขอรับ ใต้เท้า!” มือปราบรับคำสั่งออกไป

ในห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยความเงียบงัน เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม[1] ที่ทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา

ในตอนที่ซูหลินเดินเข้ามา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะพยายามกดความโกรธไว้ทำความเคารพพวกของฉู่อี้อัน คล้อยหลังในยามที่มองไปทางฉู่สวินหยางก็เผยท่าทีเยียบเย็น

ฉู่สวินหยางเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน

ทั้งสองคน สบตาประสานกัน สายตาของแต่ละคนล้วนแฝงมาซึ่งความเป็นศัตรูอย่างเห็นได้ชัด เตรียมพร้อมที่

จะระเบิดปะทุได้ทุกเวลา

เหยาก่วงไท่เริ่มเป็นกังวล ในตอนที่กำลังลังเลจะพูดก็ได้ยินเสียงผู้รับใช้ตะโกนเสียงแหลมในลำคอ ร้องว่า “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”

คำพูดของซูหลินที่กำลังจะออกจากปากจำเป็นต้องกลืนกลับเข้าไป

ฉู่อี้อันและคนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ พากันยืดตัวขึ้นทำเคารพ นั่งคุกเข่าในห้องพิจารณาคดี

ซูหลินและฉู่สวินหยางที่เป็นผู้เกี่ยวพันกับคดีนี้ถูกแยกตัวจากกลางห้องพิจารณาคดี เวลานี้จึงนั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกัน

ฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนรีบร้อนกับการรับเสด็จ ในที่สุดซูหลินก็ได้โอกาสใช้สายตาทิ่มแทงเหลือบมองฉู่สวินหยางไปหนึ่งที กล่าวด้วยเสียงเย็น “เจ้าอย่าคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะสามารถดึงข้าลงไปในน้ำได้ ลูกเล่นเล็กๆ เช่นนี้ก็ยังกล้าที่จะเอามาใช้รึ?”

“เจ้าอย่าได้คิดว่าหลังจากฆ่าคนปิดปากแล้วก็จะสามารถนอนหลับสบายได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร ชีวิตของชิงหลัวไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้น” ฉู่สวินหยางยกคิ้ว พูดย้อนประชดประชันอย่างไม่ยอมแพ้

ในตอนที่ซูหลินอยากจะพูดอะไรขึ้นมา หลี่รุ่ยเสียงก็พยุงมือฮ่องเต้เข้ามาจากด้านนอกแล้ว ทุกคนต่างก็พากันกล่าวต้อนรับสรรเสริญ

“กระหม่อมบังอาจยิ่งนักที่รบกวนฝ่าบาท!” เหยาก่วงไท่กล่าวอย่างรู้ผิด ในขณะที่พูดคนของทางการก็ย้ายเก้าอี้เข้ามาอย่างระมัดระวัง

ฮ่องเต้ช่วงนี้สีหน้าดูไม่ดีนัก ระหว่างคิ้วนั้นปรากฏท่าทีเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ขมวดคิ้วกล่าว “แค่เรื่องเล็กน้อยพวกเจ้าก็ยังทำเรื่องให้โกลาหลอลหม่าน แล้วยังเกิดเรื่องใดขึ้นกันอีก?”

“เป็นกระหม่อมที่ไร้ความสามารถ!” เหยาก่วงไท่กล่าว คุกเข่าลงไปอีกครั้ง เผยสีหน้าละอายใจเหลือบมองไปที่ด้านหลังของฉู่สวินหยางและซูหลิน “กระหม่อมได้รับคำสั่งให้ไต่สวนคดีใต้เท้ากู้ที่ถูกลอบสังหาร แต่เบาะแสกลับยิ่งลึกลับซับซ้อน ท่านหญิงสวินหยางยืนกรานว่ามือสังหารนั้นไม่ใช่บ่าวหญิงของนาง ทั้งยังลากเรื่องขององครักษ์จวนอ๋องฉางซุ่นเข้ามาเกี่ยว กระหม่อมจึงไม่กล้าตัดสินตามอำเภอใจ จึงอยากถามพระประสงค์ว่าคดีนี้ ยังต้องสืบสวนลงลึกต่อไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“กู้ฉางเฟิงเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก เรื่องนี้หากไม่ไต่สวนอย่างจริงจัง แล้วจะมีกฎซีเยว่ของข้าเอาไว้ทำไมกัน?” ฮ่องเต้กล่าวอย่างไม่ยินดี เงยหน้ามองเห็นพวกของฉู่อี้อันที่ล้วนแต่คุกเข่าหลับตาอยู่ด้านข้าง ก็โบกมือไป “ข้าก็มาเพื่อฟังการพิจารณาคดี พวกเจ้าไม่จะเป็นต้องมากพิธี กลับไปนั่งที่เถิด!”

เมื่อกล่าวจบก็ใช้สายตามองไปยังเหยาก่วงไท่ “เจ้าสอบสวนต่อเถิด!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยาก่วงไท่ตอบรับอย่างอ่อนน้อม กลับไปยังที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีที่จริงจังกับตู้ฉางหมิง “ตู้ฉางหมิง เจ้าจงเล่าเรื่องราวของเมื่อวานที่เกิดขึ้นออกมาให้อย่างละเอียดอีกครั้ง”

เมื่อเชิญฮ่องเต้มาแล้ว เรื่องราวก็ยิ่งยุ่งยากขึ้นแล้ว ตู้ฉางหมิงฝืนใจกล่าวรายงานเรื่องราวอย่างกระชับครอบคลุม โดยไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉู่สวินหยางข่มขู่กู้ฉางเฟิงออกมา ท้ายที่สุดก็กล่าวเพียงว่า “เป็นกระหม่อมที่มุทะลุไป ในใจก็มัวแต่จะคิดหาความเป็นธรรมคืนให้ใต้เท้าของพวกเรา ไม่ได้คิดว่าศพของมือสังหารจะถูกทำลาย จนตอนนี้ท่านหญิงสวินหยางก็ปฎิเสธไม่ยอมรับฐานะของคนผู้นี้”

ฮ่องเต้ชำเลืองสายตามองไปหนึ่งครั้ง เขาไม่ได้จดจำอะไรในตัวสาวใช้ข้างกายของฉู่สวินหยางได้เลย เรื่องราวก็มาสะดุดอยู่อย่างนี้ จึงประกายความโมโหพุ่งไปยังเหยาก่วงไท่ที่ดูแลเรื่องนี้ได้อย่างไม่รอบคอบทันที

เหยาก่วงไท่สั่นสะท้านอยู่ในใจ พยายามรักษาท่าทีกล่าวไป “เป็นกระหม่อมที่เลินเล่อ แต่ว่าเมื่อวานก็มีพยานให้การต่อหน้าแล้ว ล้วนยืนยันว่าเป็นสาวใช้ของท่านหญิงสวินหยางอย่างไม่ต้องสงสัย น่าจะ…ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ!”

แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ เขากลับยังคงมีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง

ฮ่องเต้เบนสายตาไปยังฉู่สวินหยาง “เจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่บ่าวคนนั้นของเจ้าอย่างนั้นรึ?”

“ไม่ใช่เพคะ!” ฉู่สวินหยางสั่นศีรษะ ในท่าทีนั้นกลับมีท่าทีหลบหลีกเล็กน้อย

ฉู่อี้ชิงที่มองอยู่ด้านข้าง จึงหัวเราะพลางกล่าวขึ้นมา “แม้ว่าจะเป็นบ่าวของสวินหยางจริงๆ ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านางได้รับคำสั่งจากสวินหยาง ดูสิหลานคนนี้ตกใจหมดแล้ว”

ฉู่สวินหยางกัดมุมปากไม่ยอมพูด

ฉู่อี้อันจึงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเยือกเย็น

“สวินหยาง อยู่ต่อหน้าเสด็จปู่แล้ว เจ้ายังไม่พูดให้ชัดเจนอีก? อย่าได้ปิดบังอะไร!”

“ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ชิงหลัวจริงๆ เจ้าค่ะ!” สวินหยางกล่าว “อีกทั้ง…อย่างไรก็ไม่สามารถเป็นชิงหลัวได้หรอกเจ้าค่ะ!”

“เด็กน้อย แม้ว่าผู้นี้จะเป็นบ่าวเจ้าจริงๆ แต่ตอนนี้คนตายพูดไม่ได้ มีเสด็จปู่ของเจ้าเป็นผู้ตัดสินอยู่ ไม่มีใครกล้าสาดโคลนใส่เจ้าง่ายๆ หรอก” ฉู่อี้เจี่ยนก็กล่าวขึ้นเช่นกัน น้ำเสียงกลับดูปลอบโยนอย่างจริงใจ “เจ้าลองคิดให้ละเอียดดูดีๆ ว่าตกลงแล้วเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ เวลานี้เจ้าเรียกตัวนางออกมาไม่ได้ ก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจน ฝ่าบาทถึงจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้แก่เจ้าได้!”

ฉู่สวินหยางคล้ายกับถูกกดดันจนร้อนใจอยู่บ้าง เพียงแต่สาดคำพูดอย่างหงุดหงิดใจออกไปไม่กี่คำเท่านั้น “อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ชิงหลัว!”

“เจ้าเอาแต่พูดว่านางไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นสาวใช้คนนั้นของเจ้าล่ะ? เรียกนางออกมาพิสูจน์ต่อหน้าข้าสิ!” ฮ่องเต้แทบจะหมดความอดทน ใช้น้ำเสียงที่เรียบเย็นกล่าว

ฉู่สวินหยางกัดริมฝีปาก ลังเลไปสักครู่ “นางหายตัวไปเพคะ!”

นางยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ เห็นได้ชัดว่ายังมีส่วนที่ปิดบังอยู่ เหยาก่วงไท่ครุ่นคิดชั่วขณะก่อนกล่าว “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่บ่าวคนนั้นจะสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่น หรือไม่ก็เรื่องนี้ท่านหญิงไม่รู้เรื่องจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ?”

ซูหลินเมื่อได้ยินเช่นนี้ จู่ๆ ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกขมุกขมัวสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขบคิดสักพัก ยังคงกล่าวถามกับฉู่สวินหยาง “เหตุใดบ่าวคนนั้นของเจ้าถึงหายตัวไป?”

“ข้า…” ฉู่สวินหยางสองจิตสองใจไม่กล้าเปิดปาก

“พูด!” ฮ่องเต้กดเสียงต่ำ คำเดียวกลับสั่นสะเทือนไปทั่ว

ร่างของฉู่สวินหยางสั่นไหว เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้อย่างเมื่อครู่จึงกล่าวเสียงเบาออกไปอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าให้ชิงหลัวแอบสะกดรอยตามซูซื่อจื่อ จากนั้น…เมื่อนางไปแล้วก็ไม่กลับมา ดังนั้น…”

“เหลวไหล!” ฮ่องเต้ยังไม่ได้กล่าวอะไร กลับเป็นฉู่อี้อันที่วางถ้วยชาในมือลงอย่างเสียงดัง กล่าวด้วยโมโห “เจ้าเด็กคนนี้นับวันก็ยิ่งกำเริบเสิบสานแล้วจริงๆ!”

ในขณะที่เขาพูดก็หยัดกายยืนขึ้น ยกชุดคลุมคุกเข่าลงไปต่อหน้าฮ่องเต้ กล่าวรับผิด “เสด็จพ่อ เป็นลูกที่อบรมนางได้ไม่ดี เลี้ยงเด็กคนนี้จนเสียคน ทำให้นางไม่สนใจอันใดทำเรื่องราวที่ไม่รู้หนักรู้เบาเช่นนี้ออกมา กลับไปแล้วลูกจะอบรมกวดขันนางอย่างเข้มงวดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

“สวินหยางรู้ผิดแล้วเพคะ เป็นสวินหยางที่ดื้อรั้น ขอเสด็จปู่โปรดลงโทษ อย่าได้กล่าวโทษเสด็จพ่อเลยเพคะ!”

ฉู่สวินหยางกล่าว กลับมีท่าทีราวกับไม่ได้ใส่ใจเท่าใด ยังคงไม่ทำใจยอมรับพึมพำออกไป “แต่บ่าวของข้าหลังจากนั้นก็หายไปไม่เจออีกเลยเพคะ”

สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นจนดูแทบไม่ได้ เวลานี้ที่เขาคิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่เรื่องที่ฉู่สวินหยางไม่มีระเบียบวินัย แต่กลับเป็นเพราะเรื่องนี้ที่นับวันก็ยิ่งเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง คาดไม่ถึงว่าแม้แต่สกุลซูก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง

“ซูหลิน เจ้าว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ประกายสายตาขมุกขมัว หลับตาดื่มชาไปคำหนึ่ง

ซูหลินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยท่าทีอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ!”

“เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้!” ฉู่สวินหยางเมื่อได้ยินก็หน้างอบิดเบี้ยวทันที ยกมือชี้ไปที่เขาอย่างไม่พอใจ “เมื่อวานข้าถามองครักษ์สองคนนั้นของเจ้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขารับสารภาพอย่างหมดเปลือก กล่าวว่าชิงหลัวนั้นถูกจับได้ เจ้าจึงสั่งคนให้สังหารนาง ซูหลิน เจ้ายังกล้าเบิกตาพูดคำโกหกออกมา? ตอนนี้อยู่ต่อหน้าเสด็จปู่ เจ้ากล้าพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่ได้เจอชิงหลัว?”

นางราวกับถูกกดดันจนลนลาน คำพูดจึงดูสะเปะสะปะอยู่บ้าง

เวลานี้ทุกคนต่างก็เข้าใจขึ้นมาอย่างเลือนราง สาเหตุที่ทำให้นางพูดตะกุกตะกักมาตลอดก่อนหน้านี้

———————————–

[1] เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท