สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – ตอนที่ 42.3

ตอนที่ 42.3

บทที่ 42 ชีพจรมงคล (3)
Ink Stone_Romance
ฉู่เยว่หนิงหันกลับไปมองฉู่สวินหยางครั้งหนึ่ง

ฉู่สวินหยางกลับพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนว่า “เชิญพี่รองเข้ามาเถิด”

“เจ้าค่ะ” ชิงเถิงไปแล้ว ไม่นานนักก็เดินนำฉู่เยว่ซินเข้ามา

ฉู่เยว่ซินสวมอาภรณ์สีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงทั้งชุดและกระโปรง แต่งใบหน้ามาอย่างประณีต ไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่เมื่อดูไปแล้วกลับดูสดใสมากขึ้นหลายส่วนจากยามปกติของนาง

ไม่พบหน้ากันระยะเวลาหนึ่ง นางราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก แต่กลับดูสดใสและงดงามมากขึ้นหลายส่วน

ในใจของฉู่สวินหยางนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ฉู่เยว่หนิงนั้นดวงตาทอประกายวาบ งงงวยเล็กน้อย

“น้องสี่ก็อยู่ที่นี่หรือ?” ฉู่เยว่ซินพูดยิ้มๆ ขณะที่พูดนั้นยังคงเคยชินที่จะหลุบตาลงต่ำ

“พี่รองมาแล้ว” ฉู่เยว่หนิงรู้สึกตัวแล้ว ยิ้มจนเห็นฟัน “อาภรณ์ชุดนี้ของพี่รองเพิ่งตัดมาใหม่ใช่หรือไม่? ช่างงดงามจริงๆ”

“ใช่แล้ว” ฉู่เยว่ซินนั้นไม่ค่อยได้ยินคนกล่าวชม จึงยิ้มตามไปด้วย “หลายวันก่อนไปหาในคลังเจอผ้าเล็กน้อย จึงนำไปตัดอาภรณ์หลายชุด”

ฉู่สวินหยางรู้ว่าหากนางไม่มีธุระอันใดย่อมไม่มาเหยียบซานเป่าเตี้ยนเป็นแน่ นางเกียจคร้านที่จะคาดเดาใจจึงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “พี่รองไฉนจึงมาอย่างกะทันหัน หาข้ามีเรื่องอันใดหรือไม่?”

“อืม” ฉู่เยว่ซินพยักหน้า สีหน้าปรากฏความโล่งอก “ข้าเพิ่งจะได้ยินพ่อบ้านเจิงบอกว่าการศึกที่ชายแดนเหนือสงบลงแล้ว ท่านพ่อกำลังกลับเมืองหลวง คิดว่าข่าวที่เจ้าได้รับน่าจะแม่นยำกว่า ดังนั้น…”

ฉู่เยว่ซินพูดแล้ว น้ำเสียงก็อ่อนลงอีกหลายส่วน หยุดชะงักครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ทว่ากลับไม่รู้ว่าท่านพ่อจะกลับมาวันไหนกันแน่?”

“ข้าเพิ่งรู้ข่าวเช่นกัน ส่วนมาถึงวันไหนนั้นยังไม่รู้” ฉู่วินหยางกล่าวแล้วยกกาน้ำชารินน้ำชาส่งให้นางถ้วยหนึ่ง

ฉู่เยว่ซินรับถ้วยชาไปถือไว้ทว่ากลับเงียบขรึมลง

ฉู่สวินหยางไม่ได้เป็นฝ่ายสนทนาเรื่องดังกล่าวขึ้นอีก บรรยากาศภายในเรือนเปลี่ยนเป็นอิหลักอิเหลื่อในพริบตา

ฉู่เยว่ซินได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับฉู่สวินหยาง “กลับมาครั้งนี้พร้อมกับความดีความชอบ เวลานั้น…ฝ่าบาทจะเสด็จออกมาพร้อมกับขุนนางนับร้อยเพื่อต้อนรับทัพใหญ่กลับสู่ราชสำนักหรือไม่?”

“นี่เป็นการสยบศัตรูไว้นอกด่านเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ที่พากลับมามีเพียงทหารอารักขาสามหมื่นกว่านายที่ออกไปพร้อมกับท่านพ่อ ไม่น่าจะพิธีการยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างไม่ค่อยใจใส่นัก

ฉู่เยว่ซินเห็นนางไม่พูดอันใดอีก ในที่สุดเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือแล้วเอ่ยขึ้นราวกับไม่ได้ตั้งใจว่า “ได้ยินว่า การศึกครั้งนี้สถานการณ์พลิกกลับมาได้อย่างราบรื่น คุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นมีความดีไม่น้อย”

ฉู่สวินหยางตกตะลึง จากนั้นจึงมองนางด้วยความสงสัยแวบหนึ่ง

ฉู่เยว่ซินเกรงว่าจะทำให้นางอ่านความในใจของตนออก รีบยิ้มออกมาเพื่อปิดบังพิรุธ

ยามปกตินั้นนางไม่ค่อยจะออกมาเดินข้างนอก แต่ฝีมือในการเล่นละครเสแสร้งนั้นไม่เป็นสองรองใคร ภายใต้รอยยิ้มนี้ของนางช่างกลบเกลื่อนได้มิดชิดยิ่งนัก

ฉู่สวินหยางจ้องมองนาง ยกมุมปากขึ้น “ถูกต้อง ยามนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงการพระราชบรรดาศักดิ์อันใด เพียงแต่หากท่านอ๋องฉางซุ่นที่อยู่ทางใต้ก่อเรื่องเดือดร้อนอันใดขึ้นมา เขาน่าจะไม่ต้องไปมีส่วนเกี่ยวพันด้วย”

“เช่นนั้นก็ดี” ฉู่เยว่ซินพลอยหัวเราะไปด้วย แต่ไม่ว่าจะดูเช่นไรแล้วก็ยังใจลอยอยู่บ้าง

ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าคำพูดและท่าทีของนางในวันนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองนางอีก

เดิมทีฉู่เยว่ซินตั้งใจมาหลอกถามข่าวจากฉู่สวินหยางเพียงเท่านั้น ทว่านางเองกลับมีท่าทีราวกับกินปูนร้อนท้อง เมื่อถูกฉู่สวินหยางมองนางอย่างจับจ้องพลันรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มก็ไม่ปาน จึงนั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นกล่าวลา

เมื่อมองส่งนางจนลับตาไป ฉู่เยว่หนิงพลันขมวดคิ้วแน่น “ข้าดูแล้วไฉนวันนี้พี่รองมีท่าทีแปลกๆ เล่า?”

ไม่พูดว่านางให้ความสำคัญการกับแต่งตัวแต่งหน้ามาอย่างเต็มพิธีการ ซ้ำยังเสแสร้งแสดงความห่วงเป็นใยในตัวท่านพ่อและเรื่องภายในราชสำนัก

“ถูกต้อง” ฉู่สวินหยางพยักหน้าเห็นด้วย

แต่หากเป็นเรื่องของฉู่เยว่ซินแล้วนางคร้านจะใส่ใจ ขอเพียงแค่นางอยู่เฉยๆ ไม่ก่อเรื่องอันใด ฉู่สวินหยางจะไม่กระตือรือร้นเข้าไปทักทายก่อน

ฉู่เยว่หนิงนั่งอยู่ที่นี่จนกระทั่งหลังบ่ายจึงได้จากไป

จนกระทั่งส่งนางออกไป ชิงเถิงจึงเบ้ปากเดินเข้ามาเก็บของว่างและน้ำชาที่เหลือบนโต๊ะพร้อมกับรายงานว่า “ท่านหญิงกำลังเดาใจท่านหญิงรองใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านไม่รู้สึกว่านางดูเหมือนจะใส่ใจเรื่องของคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นเป็นพิเศษหรือ?”

ฉู่สวินหยางไม่เคยคิดถึงด้านนี้มาก่อน เมื่อถูกนางทักท้วงขึ้นจึงรู้สึกประหลาดใจนัก

ชิงเถิงกะพริบตาปริบๆ ข่าวคราวทุกด้านของเรือนหลังนั้นชิงเถิงล้วนมีอยู่ในมือ จึงพูดว่า “ท่านก็เห็นแล้ว ระยะนี้นางไม่เหมือนเมื่อก่อน เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางเมื่อก่อนนั้นแทบจะทนไม่ได้ที่จะเอาผ้าขาวมาพันเอาไว้ แต่ระยะนี้เพิ่งจะสั่งตัดใหม่อีกรอบ วันนั้นบังเอิญบ่าวเห็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้ามาที่จวน มีผ้าแพรลายดอกเขียวๆ แดงๆ งดงามยิ่ง”

“เจ้าจะพูดว่า…” ฉู่สวินหยางครุ่นคิด ยังคงรู้สึกว่าเหลือเชื่อ

“หญิงสาวที่ชมชอบในรูปโฉมของตนเอง” ชิงเถิงกล่าว “บ่าวแอบตรวจสอบเงียบๆ น่าจะเริ่มจากงานเทศกาลโคมไฟครั้งก่อน ได้พบเข้ากับคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่น ท่านหญิงรองออกมาข้างนอกมากขึ้น ไม่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวันอีกต่อไป ช่วงก่อนคุณชายรองอยู่ในเมืองหลวง หรือว่าท่านหญิงไม่พบว่างานเลี้ยงปกติในจวนของพวกเรา นางเคยโผล่หน้าออกมาหรือไม่เจ้าคะ?”

ฉู่สวินหยางคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด ตลอดมานางไม่ค่อยใส่ใจเรื่องของฉู่เยว่ซินเท่าใดนัก แต่เมื่อได้คิดย้อนหลังกลับไปอย่างถี่ถ้วนแล้วดูเหมือนจะเกิดเรื่องเช่นนั้นจริง

ฉู่เยว่ซินมีใจให้ซูอี้?

นี่มันเริ่มจากที่ไหนกับที่ไหนเล่า?

ต่อให้นางมีใจ สุดท้ายก็เป็นเพียงดอกไม้ที่ร่วงโรยและกลายเป็นความว่างเปล่า ซูอี้คนผู้นั้น…

ไม่ใช่นางจงใจดูถูกฉู่เยว่ซิน แต่เรื่องของทั้งสองคนไม่มีความเป็นไปได้แม้แต่น้อย

“พอได้แล้ว เจ้าก็อย่าได้ไปสืบหาข่าวคราวที่น่าขนลุกเช่นนี้ทั้งวัน ไปช่วยดูฮูหยินใหญ่ ท่านพ่อกำลังจะกลับมาแล้ว ในจวนยังมีสิ่งใดต้องให้ช่วยจัดเตรียมและเก็บให้เรียบร้อยบ้าง” ฉู่สวินหยางกล่าว

ชิงเถิงกลอกตาขาว เก็บของแล้วถอยออกไป ———————————

จวนหลัวกั๋วกง

ยามบ่ายวันนี้ หลัวซืออวี่กำลังฝึกเขียนพู่กันอยู่ในห้อง เยียนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยความโมโห

หลัวซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของนางแล้วพูดปนเสียงหัวเราะว่า “นี่เจ้าเป็นอันใดเล่า? ทำราวกับว่ามีคนค้างเงินเจ้าไม่คืนอย่างไรอย่างนั้น”

ในเรือนไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย พฤติกรรมและท่าทางของเยียนเอ๋อร์จะตามอำเภอใจอยู่บ้าง มายืนเบื้องหน้านางและพูดขึ้นอย่างไม่พอใจนักว่า “คุณหนูใหญ่ เรื่องของคุณหนูสามนั้นคุณหนูใหญ่จะสนใจหรือไม่ จะปล่อยนางไปอย่างนี้หรือเจ้าคะ?”

เดิมทีก่อนหน้าที่ต้องการให้โรคระบาดเช่นนี้หมดไปจากเรือน แต่หลังจากที่ได้ยินว่าซูหลินตายแล้วหลัวอวี่ก่วนถึงกับหมดสติไปทันที จากนั้นอ้างว่าล้มป่วยไม่สบาย ได้แต่เกียจคร้านอยู่ในจวน

“นางอยากจะอยู่ก็ให้นางอยู่ไปเถิด ในจวนของเราขาดนางไปย่อมกินข้าวได้ตามปกติ” หลัวซืออวี่กล่าว ในแววตาปรากฏรอยยิ้มซุกซ่อนอยู่

นางไม่คิดว่าสตรีอย่างหลัวอวี่ก่วนจะยอมหยุดเพียงเท่านี้ เพียงแต่ซูหลินตายไปแล้ว นางจึงรู้สึกกระทบกระเทือนทางจิตใจ แต่ว่ายามนี้…

เกรงว่าในยามนี้นางยังคงคิดหาวิธีบิดเบือนลับหลัง

“แต่…บ่าวรู้สึกว่านางยังไม่ถอดใจ” เยียนเอ๋อร์พูด

ไม่ง่ายดายเลยที่จะมีโอกาสเหมาะสมเช่นนี้ทำการโยนหินลงบ่อ ซูหลินตายแล้ว หากนำเรื่องของหลัวอวี่ก่วนไปบอกกล่าวฮูหยินใหญ่หลัว หากฮูหยินใหญ่หลัวจะจัดการนางเพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนก็เป็นเหตุผลอันสมควร ไฉนต้องเก็บสตรีเช่นนี้เอาไว้ให้รกสายตาเล่า?

“แล้วแต่นางเถิด” หลัวซืออวี่กลับไม่คิดทำเช่นนั้น นางหยุดชะงักไปอึดใจหนึ่ง แล้วเริ่มยกพู่กันขึ้นอีกครั้ง “เจ้าไม่มีอันใดก็ไม่ต้องไปคอยจับจ้องนางอีก ไปทำเรื่องที่สมควรทำให้มากหน่อย”

เยียนเอ๋อร์เห็นว่าพูดให้นางเปลี่ยนใจไม่ได้ ก็ได้แต่กระทืบเท้าครั้งหนึ่งแล้วหันศีรษะจากไป

ได้ยินเสียงปิดประตู หลัวซืออวี่เงยหน้าขึ้นมองครั้งหนึ่งปรากฏรอยยิ้มขื่นๆ ขึ้นบนใบหน้า

การเก็บหลัวอวี่ก่วนเอาไว้เป็นภัยร้ายจริงๆ ทว่าหลังจากหลัวฮองเฮาและฮูหยินรองหลัวเสียชีวิตในวันเดียวกัน มีผู้คนจำนวนเท่าใดกันที่คอยจับจ้องความเคลื่อนไหวของจวนหลัวกั๋วกง แม้ว่าการกำจัดหลัวอวี่ก่วนจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง แต่ยังมีหลัวเสียงอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนจัดการไม่ง่าย

หลัวซืออวี่ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ตั้งใจฝึกเขียนพู่กันต่อไป

เยียนเอ๋อร์ออกจากเรือนของนางแล้วยังโมโหไม่หาย คิดแล้วจึงเดินด้อมๆ มองๆ ไปอยู่บริเวณใกล้ๆ กับเรือนของหลัวอวี่อ่วน ไม่คิดว่าเพิ่งจะไปถึง มองเห็นแต่ไกลว่าเซียงเฉ่ากับสาวใช้อีกนางหนึ่งกำลังออกมาจากเรือน พวกนางเดินไปทางสวนดอกไม้ด้านหลังจวน

ดวงตาเยียนเอ๋อร์ทอประกายวาบ มองแค่ครั้งเดียวนางก็จำได้ว่าคนผู้นั้นคือหลัวอวี่ก่วน

สองนายบ่าวนี้ ออกจากบ้านทั้งทียังต้องทำตัวมีพิรุธเช่นนี้? ย่อมมีเรื่องแน่แล้ว

เยียนเอ๋อร์ตัดสินใจ ตามหลังพวกนางไป

สองนายบ่าวนั้นออกจากจวนไปแล้ว เลี้ยวออกไปจนถึงตรอกๆ หนึ่งแล้วจึงว่าจ้างรถม้า

ระยะนี้หลัวอวี่ก่วนมีเรื่องให้คิดมากเกินไป ทำให้นางผ่ายผอมโทรมลงไปมาก เบ้าตาดูลึกโหล ขอบตาดำคล้ำ

ดูแล้วอิดโรย อีกทั้งคิ้วมักจะขมวดแน่นอยู่เสมอ

——————————————————-

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท