เห็นเจี๋ยหงยืนอยู่ไม่ไกล ฝีเท้าของเหยียนหลิงจวินพลันชะงักเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตีหน้าตายพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอีกสองประโยค รอจนทั้งสองจากไปแล้ว เท้าก็เดินตรงมาหาเจี๋ยหงทันที
“มีอะไร?” เหยียนหลิงจวินถาม
ตอนนี้แม้เขาจะไปมาหาสู่กับฉู่สวินหยางค่อนข้างบ่อย แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ สวินหยางคงไม่มาถึงที่นี่
เจี๋ยหงใช้หางตาเสมองไปทางตรอกเล็กๆ ด้านหลังที่ไม่ไกลนัก เอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านหญิงมาเจ้าค่ะ!”
เหยียนหลิงจวินเม้มปาก ก้าวยาวๆ เข้าไปหา
เลี้ยวตรงหัวมุมไป ก็เห็นเฉี่ยนลวี่นั่งคุมรถม้าอยู่
“นายท่าน!” เฉี่ยวลวี่กระโดดลงมาจากรถ
“อืม!” เหยียนหลิงจวินไม่ได้มากความกับนาง เพียงโค้งตัวแล้วมุดหายเข้าไปด้านใน
ขณะนั้นฉู่สวินหยางถือถ้วยน้ำชากระเบื้องสีขาวปลอดอยู่ในมืออย่างคนกำลังใช้ความคิด นางไม่ได้ยินเสียงด้านนอก กระทั่งเหยียนหลิงจวินขึ้นมาบนรถแล้วถึงได้สติ
“เจ้ามาแล้ว!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้ เทน้ำชาครึ่งถ้วยที่เย็นชืดออกนอกหน้าต่าง แล้ววางถ้วยชาลง เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าต้องรอจนฟ้ามืดเสียอีก!”
เหยียนหลิงจวินมองนาง ส่งสายตาตั้งคำถามไปให้ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาหาข้าที่นี่ได้?”
ฉู่สวินหยางอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงไม่เล่นอ้อมค้อม เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้ารู้เรื่องที่ซูอี้จะต้องไปคุมทัพที่แนวรบแม่น้ำหมินหรือไม่?”
เรื่องนี้เหยียนหลิงจวินก็ได้ยินมา ราชโองการของฮ่องเต้เพิ่งประกาศที่ท้องพระโรงเมื่อเช้านี้ เขายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับมัน แต่ก็พอเดาออกว่าซู้อี้จะตัดสินใจอย่างไร
“อืม!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้า เอื้อมไปรินน้ำชาใส่ถ้วย จิบไปคำหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดกับข้าอยู่”
“แผนของฮ่องเต้เขาก็รู้ดีแก่ใจ ทำไมยังจะออกไปเสี่ยงอีก?” ฉู่สวินหยางถาม หัวคิ้วขมวดมุ่น
“เหอะ…” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ อารมณ์ค่อนไปทางจนใจ เอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เขาดึงดันจะไป ข้าก็ห้ามไม่ได้!”
ซูอี้ไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดา แค่เพราะเรื่องที่ตนถูกขับไสไล่ส่งในวัยเด็ก ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาคงไม่เคียดแค้นซูหังพ่อลูกถึงเพียงนั้น แต่พอกลับมาคิดๆ ดู สิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยวางคงจะเป็นเรื่องน้องชายนามว่าซูฉีที่เสียชีวิตแต่ยังเล็กเสียมากกว่า
เหมือนอย่างที่เหยียนหลิงจวินพูด เรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิไปห้ามปรามเขาทั้งสิ้น
เมื่อเข้าใจดังนั้น ฉู่สวินหยางก็ถามต่อว่า “เจ้าจะไปกับเขาหรือไม่?”
“หืม?” เหยียนหลิงจวินได้ฟังก็ตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบยิ้มๆ ว่า “พระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดี จะออกจากเมืองหลวงคงไม่ง่าย!”
เขาพูดไป แววตาก็ทอประกายวิตกกังวลให้เห็น
แม้ข้างกายของซูอี้จะมีคนคอยช่วยเหลือ แต่ความเก่งกาจขององครักษ์เงาของฮ่องเต้เขาได้ประจักษ์มากับตัว หากพระองค์คิดเล่นลูกไม้ก็ยังพอมีโอกาสให้รอด แต่ถ้าทรงส่งองครักษ์เงามาจัดการ ความแข็งปะทะความแข็ง คิดว่าคงไม่มีใครเอาชนะไปได้ง่ายๆ
การเดินทางของซูอี้ครั้งนี้ แม้จะรู้ดีว่ามีเสืออยู่ในถ้ำ แต่เขาก็ต้องเดินเข้าถ้ำไป
ยิ่งคิดมากอารมณ์ก็ยิ่งตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกสับสนเป็นที่สุด
เหยียนหลิงจวินรู้จักนางดี แค่เรื่องของซูอี้คงไม่ทำให้นางเป็นแบบนี้ได้ ในใจส่งเสียงเตือน เขาวางถ้วยชาในมือแล้วดึงนางเข้ามากอดบนตัก ยกมือลูบศีรษะนางเบาๆ เอ่ยถามเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นอะไร?”
ฉู่สวินหยางเม้มปากแต่ไม่ตอบทันที ผ่านไปสักพักถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา เอ่ยว่า “ข้าต้องการยาชนิดหนึ่ง เจ้ารีบปรุงออกมาให้ข้าที!”
“หืม?” เหยียนหลิงจวินงุนงง แต่ก็เพียงมองหน้านาง รอให้นางพูดต่อ
“เมืองฉู่เกิดเรื่องแล้ว” ฉู่สวินหยางตอบอย่างไม่ปิดบังเขา แล้วเอ่ยต่อด้วยท่าทีเคร่งเครียด “รุ่ยชินอ๋องถูกลอบทำร้าย ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านพ่อบอกว่าฮ่องเต้ออกราชโองการลับมีรับสั่ง รอให้ซูอี้ไปรับช่วงต่อที่ศึกแม่น้ำหมินแล้ว ก็จะส่งท่านพี่กับฉู่ฉีเหยียนไปเมืองฉู่เพื่อจัดการเรื่องนี้”
เพราะฮ่องเต้ปิดข่าวได้อย่างเงียบเชียบ เหยียนหลิงจวินจึงเพิ่งจะรู้เรื่อง อดจะสูดลมหายใจเสียงดังไม่ได้ “เมืองฉู่ทางนั้นไม่มีข่าวส่งมาสักนิด…”
“ท่านพ่อสงสัยว่าราชสำนักภายในมีปัญหา” ฉู่สวินหยางเอ่ยด้วยสีหน้าดำมืด “ช่วงนี้เกิดความวุ่นวายไปทุกที่ หากบอกว่าเมืองฉู่ทางนั้นเป็นฝีมือของชาวหนานฮวา ข่าวคราวคงไม่เงียบกริบจนถึงเดี๋ยวนี้”
“ดังนั้น?” เหยียนหลิงจวินหลุบตามองนาง หุบยิ้มอย่างไม่รู้ตัว “เจ้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับคังจวิ้นอ๋องที่นั่น?”
“ไม่รู้” ฉู่สวินหยางตอบ ความคิดตีกันให้วุ่น “ตอนแรกข้าอยากจะไปด้วยแต่ท่านพ่อไม่ยอม ฮ่องเต้คงจะระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ท่านพ่อถึงไม่อนุญาตให้ข้าออกจากวังหลวง อีกไม่นานราชโองการลับของฮ่องเต้ก็จะถูกส่งออกไปแล้ว พวกพี่ชายทางนั้นอาจต้องเดินทางลงใต้เมื่อใดก็ได้ ตอนนี้มีทางเดียว…”
นางหยุดไปไม่พูดต่อ ก่อนสายตาจะเปล่งประกายความแน่วแน่ “ทางเดียวคือคิดหาวิธีให้พี่ชายไม่อาจเดินทางได้!”
สายตาของเหยียนหลิงจวินแข็งทื่อ เข้าใจความหมายในทันที
ราชโองการของฮ่องเต้มิอาจขัดขืน แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์เร่งด่วนจนทำให้ฉู่ฉีเฟิงไม่อาจเดินทางลงใต้ได้ ต่อให้ฮ่องเต้จะทรงไม่พอพระทัยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“แต่ว่า…” เหยียนหลิงจวินครุ่นคิด ไม่ค่อยเห็นด้วยกับนาง “ต่อให้ข้าทำได้อย่างไร้ร่องรอย แต่เรื่องบังเอิญเช่นนี้ใช่ว่าฮ่องเต้จะทรงเชื่อ ทันทีที่ทรงเคลือบแคลง ไม่แน่ว่าแม้แต่เรื่องที่เมืองฉู่ก็อาจถูกเหมารวมว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทได้”
“เจ้าก็ทำให้มันชัดเจนหน่อยสิ…” ฉู่สวินหยางเม้มปาก ก้มศีรษะแล้วเงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา “ให้มันเป็นการกระทำเพราะความต้องการส่วนตัวของข้า เท่านี้ฮ่องเต้ก็ไม่อาจโยนความผิดให้ท่านพ่อได้แล้ว”
แม้ฉู่อี้อันจะไม่อนุญาตให้นางออกจากเมืองหลวง แต่หากนางคิดหาวิธีจริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ทว่าสถานการณ์ของเมืองฉู่ไม่ชัดเจนสักอย่าง จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
เหยียนหลิงจวินมองนาง นิ้วมือไล้ตามพวงแก้มพลางหัวเราะ “เช่นนั้นวันนี้ก็แค่ละครฉากหนึ่งใช่หรือไม่? ทำให้พวกเขาเชื่อว่าข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว!”
เขายิ้มจนดวงตาขีดเป็นเส้นโค้ง คล้ายกำลังล้อเลียน
ฉู่สวินหยางจ้องตาเขากลับ สีหน้าไม่รู้เปลี่ยนเป็นจริงจังตั้งแต่เมื่อไร ยกมุมปากแล้วตอบว่า “นับจากวันนี้ นอกจากตัวเจ้าแล้ว ทุกคนจะต้องเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไหม?”
ตั้งแต่ครานั้นที่เดินทางลงใต้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็นับว่าเป็นไปอย่างเปิดเผยในสายตาคนนอก อุปสรรคเดียวของคนทั้งสองก็คือองค์รัชทายาทผู้เป็นนายแห่งวังบูรพา ซึ่งไม่เคยแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้เสียที
เหยียนหลิงจวินมองเข้าไปในดวงตานาง แม้แต่รอยยิ้มก็ไม่คิดจะปิดบัง ถามกลับว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า?”
เขาไม่รอให้ฉู่สวินหยางตอบ ก็เอ่ยต่อว่า “แม้ข้าจะอยากให้ทุกคนเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง แต่พวกเขาก็แค่ผู้ชมที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง ข้าสนใจเพียงความคิดของเจ้าคนเดียว”
————————————————————