“ข้าทราบแล้ว!” เหยียนหลิงจวินกล่าว ยกฝีเท้าเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว พลางกล่าว “เฉี่ยนลวี่และเจี๋ยหงก็ตามไปด้วยใช่หรือไม่?”
“เจ้าค่ะ!” ชิงเถิงกล่าว เดินรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็นการวิ่งจึงค่อยสามารถตามเขาได้ทัน “แต่ว่าท่านหญิงไปด้วยดูรีบร้อนอย่างมาก ไม่ได้นำอะไรติดไปด้วยเลยเจ้าค่ะ!”
“อืม เจ้ากลับไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะไปตามนางเอง!” เหยียนหลิงจวินกล่าว ฝีเท้าก็เร็วขึ้นไปด้วย
ชิงเถิงเมื่อคิดว่าถ้าตนตามไปกับเขาก็ไม่แน่ว่าจะช่วยอะไรได้ แม้ว่าใจจะร้อนเป็นไฟ แต่ก็ยังคงฟังคำพูดของเขา พลิกเท้าหมุนกายกลับไปยังเรือนจิ่นฮว่า
เมื่อเหยียนหลิงจวินออกไปแล้ว ลู่หยวนก็เคาะเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ กล่าวกับฉู่อี้อัน “ฝ่าบาท ท่านหญิงทราบร่องรอยของคังจวิ้นอ๋องแล้ว คงจะเร่งตามไปแคว้นฉู่ทั้งวันทั้งคืนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ต้องการให้กระหม่อม…”
“ให้จูหยวนซานนำคนตามไปสักหน่อยเถิด!” ฉู่อี้อันกล่าวอย่างราบเรียบตัดบทเขา
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกระจายคำสั่งลงไป”
ลู่หยวนปิดประตูเดินออกไป ส่วนฉู่อี้อันยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือสักพัก จากนั้นก็ค่อยลุกยืนขึ้น เปิดประตูใหญ่ของห้องลับที่ไม่ได้เปิดเป็นเวลานาน ก่อนจะเดินเข้าไป
เพื่อที่จะรวบรวมคลังหนังสือต่างๆ พวกนั้นของเหลียงซีเอาไว้ ห้องลับนี้จึงผ่านการออกแบบอย่างเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่มีแสงจากด้านนอกสอดส่องเข้ามา แต่การระบายอากาศก็ยังคงยอดเยี่ยม
เขาก้าวเท้ายาวลงไป ขมวดคิ้วมุ่นเดินกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางชั้นวางหนังสือพวกนั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ กลับไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตนเองต้องการที่จะทำอะไร
ฉู่สวินหยางอยู่ข้างกายเขา ก็มักจะมีอันตรายเสมอ
แท้จริงแล้วในตอนที่เขานึกถึงเหยียนหลิงจวิน ก็มีความคิดเช่นนี้ปรากฏออกมาอย่างเลือนรางอยู่ตลอด หรือว่า…
ให้นางออกไปจากสถานที่เช่นนี้ให้ไกล จึงจะนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
หลายสิบปีมานี้เขาให้ฐานันดรศักดิ์ที่มีเกียรติอย่างถึงที่สุดให้แก่นาง แต่ในขณะเดียวกันก็แขวนใบมีดไว้ที่ตัวของนางด้วยเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่อย่างไรก็ไม่อาจหลงเหลือตัวตนเช่นนี้ของฉู่สวินหยางเอาไว้ได้ แต่หากจะพูดอย่างนั้น แม้ว่ามีวันหนึ่งที่ฮ่องเต้สวรรคต วันที่ทั้งใต้หล้านี้ตกลงมาอยู่ในมือเขา…
หากความลับนี้เผยแพร่ออกไป เช่นนั้นเรื่องที่ตามมาก็คงจะก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำที่ไม่ว่าใครก็มิอาจคาดการณ์ได้
ฉู่สวินหยางที่มีนิสัยหยิ่งยโสเช่นนั้น แม้เขาจะสามารถปิดปากคนทั้งใต้หล้าได้ แต่ว่า…
ช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเด็กคนนั้นท้ายที่สุดก็คงยากที่จะเติมเต็ม
จากนิสัยของฉู่สวินหยาง บางทีนางอาจไม่ถึงกับคิดเคียดแค้นที่ราชวงศ์ก่อนถูกทำลายจึงพาลโกรธตนเอง
แต่อย่างไร…
เขาก็ยังเป็นผู้ที่สังหารมารดาของนาง
แม้ว่านางไม่อาจทอดทิ้งตนเอง แต่ในตอนที่เผชิญหน้ากันอีกครั้ง ภาระหนักอึ้งทั้งหมดก็จะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้แบกรับไว้
ฉู่อี้อันเดินไป ท้ายที่สุดยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านหน้ากลไกลับนั้น ยกมือเคลื่อนกลไก ด้านในก็ปรากฏกล่องที่บรรจุจดหมายเอาไว้
ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น ไล้นิ้วมือไปบนนั้นด้วยความอ่อนโยนราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รัก
“หานซิน ตั้งแต่แรกข้าก็เป็นคนที่ผิดแล้วใช่หรือไม่? หรือว่า…ข้าไม่ควรที่จะนำซินเป่ามาไว้ข้างกายตั้งแต่แรก” น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยอารมณ์อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังถอนหายใจขัดแย้งด้วยความสับสน
การตัดสินใจที่นำฉู่สวินหยางมาไว้ข้างกาย แม้ว่าจะเป็นปณิธานของเขาที่เกิดขึ้นชั่วครู่ แต่ก็ยอมรับว่า…
มีแต่จะต้องอยู่ข้างกายเขาที่เป็นดั่งที่ที่อันตรายที่สุดเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยที่สุดสำหรับฉู่สวินหยาง
เรื่ององค์หญิงใหญ่จินหวงที่กำเนิดลูกก่อนที่สงครามจะเกิดเพียงวันเดียวนั้นไม่ใช่ความลับ หากไม่ใช่ว่าฉู่สวินหยางถูกเขานำตัวไปเป็นลูกสาวในนาม ภายใต้การสืบสาวเอาความจากฮ่องเต้ก็คงยากที่จะรับประกันว่าจะไม่พบเบาะแสอันใด
แต่ตอนนี้ ก็เพราะว่าตอนแรกเขาคิดปกป้องอย่างรอบคอบ จึงกลับกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่แบกอยู่บนหลังของลูกสาว
ยามนี้หากจะพูดว่าปล่อยให้ฉู่สวินหยางห่างจากกายไป เขาก็ทำใจไม่ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม…
ให้นางออกห่างจากเรื่องพวกนี้ ปลดปล่อยตัวเองจากสถานการณ์ลำบากออกไปก็นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน
ฉู่สวินหยางได้ฟังเรื่องราวทางนั้นอย่างละเอียดจากเจี๋ยหง ก็สั่งให้คนไปเตรียมม้าออกจากเมืองโดยแทบไม่ต้องคิดทันที
คนผู้นั้นวางแผนใช้วิธีเช่นนี้กับนางอย่างสุดกำลัง ก็เพื่อสกัดกั้นการกลับเมืองหลวงของเหยียนหลิงจวิน? ทั้งยังสนับสนุนฉู่ฉีเฟิงรุดหน้าไปแคว้นฉู่?
นอกจากสาเหตุเช่นนี้แล้ว นางก็นึกเหตุผลอย่างอื่นไม่ออกแล้ว และหากเป็นเช่นนี้จริงๆ…
สถานการณ์ของฉู่ฉีเฟิงก็นับว่าอันตรายแล้ว
“ท่านหญิง รอก่อนเจ้าค่ะ!” เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่ เดิมทีทั้งสองคนคิดที่จะขัดขวางนาง แต่กลับไม่อาจห้ามนางได้ จึงทำได้เพียงตามมาอย่างไร้ทางเลือก บัดนี้ก็ตามอยู่ด้านหลังอย่างร้อนใจ
หลังจากเพิ่งป่วยหนัก ฉู่สวินหยางมักรู้สึกว่าในหัวรู้สึกโล่งอยู่บ้าง แต่ว่าความคิดนี้กลับทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า…
นางต้องรีบตามไปที่แคว้นฉู่อย่างทันที ยิ่งล่าช้ามากเท่าใดฉู่ฉีเฟิงก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
นางไปอย่างเร่งร้อน ทั้งยังนั่งบนม้าศึกที่รูปร่างองอาจหาได้ยากยิ่ง พริบตาเดียวก็ทิ้งระยะห่างกับเฉี่ยนลวี่และเจี๋ยหง
อย่างทันที
เพราะว่าใจล้วนแต่พะวงอยู่ที่เรื่องอื่น เวลานี้นางกลับไม่ทันได้สนใจว่า หลังจากที่นางออกจากจวนก็มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างบ้านเรือนรวดเร็วราวกับภูตผี เอาแต่ติดตามนางอย่างไม่ลดละ
คนผู้นี้ไล่ตามด้วยความรวดเร็ว ในตอนที่ฉู่สวินหยางใช้แรงอย่างสุดกำลัง นางไล่ตามไปไม่กี่ถนน ท้ายที่สุดก็อยู่ใกล้ๆ ซุ้มประตูห่างจากประตูทางทิศตะวันออกประมาณสองลี้จึงค่อยถอนหายใจออกมา ก่อนจะกระโดดม้วนตัวในอากาศขวางทางฉู่สวินหยางไว้
เงาดำนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ฉู่สวินหยางไม่ทันได้คาดคิดมาก่อนก็รีบดึงบังเหียนไว้อย่างทันที แม้จะทำเช่นนี้แต่ก็แทบจะชนกับร่างของนางอยู่ดี
ม้าศึกร้องขึ้นอย่างเสียงดัง นางหยัดกายตรง ท้ายที่สุดก็ควบคุมม้าด้วยบังเหียน ขณะเดียวกันก็พลิกกายลงพื้นอย่างจำใจ
ในตอนที่กระโดดลงจากหลังม้า ฉู่สวินหยางก็หยิบแส้อ่อนในกระเป๋าออกมาเตรียมพร้อม พลางกล่าว “เจ้าเป็นใคร?”
ในตอนที่ผู้นั้นร่วงลงบนพื้นได้หันหลังให้นาง เวลานี้จึงค่อยหมุนกายกลับมา
นางใช้ผ้าสีดำอำพรางใบหน้า เพียงปรากฏให้เห็นแต่ดวงตาคู่หนึ่งที่เย็นชาอย่างถึงที่สุด เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนออกมา “ท่านกลับไปตอนนี้จะดีกว่า ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่ท่านควรจะออกจากเมือง!”
ฉู่สวินหยางตกตะลึงเพราะคำพูดนี้ของนาง
แม้ว่าน้ำเสียงจะทุ้มลึกและราบเรียบ แต่เมื่อฟังดีๆ ก็ยังคงสามารถแยกออกว่า จริงๆแล้วเป็นน้ำเสียงของผู้หญิง
ฉู่สวินหยางตัดสินใจออกจากเมืองเป็นเรื่องที่กะทันหัน อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนล่วงรู้ความตั้งใจของนาง ทั้งยังพยายามจะขัดขวางนางไว้
ที่สำคัญที่สุด…
คนผู้นี้ นางก็ไม่ได้รู้จักแต่อย่างใด
ฉู่สวินหยางคิดดูแล้วก็สนใจ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เจ้ารู้จักข้า?”
คนผู้นั้นไม่ตอบ
ฉู่สวินหยางจึงคิดเสียว่านางยอมรับโดยปริยาย กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ารู้ว่าข้าจะทำอะไรงั้นรึ?”
“กลับไปเถิด!” หญิงผู้นั้นกล่าว น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบทั้งยังไม่สามารถแยกแยะอารมณ์อื่นออกมาได้ “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องเข้าไปเกี่ยว!”
————————————————–