“ไฉนเจ้าถึง…” คนผู้นั้นคิดจะพูดออกมาแต่พิษได้กำเริบขึ้นเสียก่อน ทำได้เพียงแค่กระอักเลือดสีดำออกมาเท่านั้น แล้วล้มลงบนพื้นกระตุกไม่หยุด
ฉู่สวินหยางและคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอันใด มีเพียงสายตาที่จ้องเขม็งไปยังร่างของผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีเทา
แม้กระทั่งทหารเทพปรากฏกายขึ้น คนชุดดำผู้นั้นได้แต่จ้องเขม็งไปที่เขาด้วยสายตาระแวดระวัง
ซื่อหรงพิงอยู่บนร่างของเขา และฟื้นฟูกำลังของตนอย่างรวดเร็ว นิ้วมือกลับกดทับถูกบาดแผนที่เลือดไหลออกมาบริเวณหน้าอกของเขาที่สั่นสะท้านเบาๆ
คิ้วของฉู่สวินหยางขมวดแน่น มองคนผู้นั้นอยู่เนิ่นนาน ในใจสับสนวุ่นวายยิ่งนัก สุดท้ายยังคงเดาไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นใคร
นางเดินเข้าไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว “ท่านก็คือ…”
นางพูดยังไม่ทันจบ ซื่อหรงฝืนร่างกายด้วยกำลังที่ฟื้นคืนมาบางส่วน มือหนึ่งจับแขนของคนผู้นั้นไว้ และกระโดดข้ามกำแพงไป
องครักษ์ลับเหล่านั้นหมดพิษสงไปนานแล้ว ซูอี้รีบหันมามองแล้วกล่าวว่า “ข้าตามไปดู”
ผู้พูดไม่ได้รอให้ผู้อื่นรับคำก็ตามซื่อหรงไปตามทิศทางที่นางจากไป
การต่อสู้ดุเดือดอย่างเอาเป็นเอาตาย จบลงอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้เอง
องครักษ์ทั้งแปดคนของฉู่สวินหยางมีบางคนได้รับบาดเจ็บ ยังดีที่ไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิต คนทั้งหมดไม่รอรับคำสั่งแต่รีบทำความสะอาดสถานที่และแยกย้าย
แม้ในใจของฉู่สวินหยางจะคิดถึงคนผู้นั้น ยามนี้ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจเรื่องนี้ นางรีบรวบรวมสติแล้วหันกายกลับมาเดินเข้าไปหาคนชุดดำที่อยู่ในเงามืดนั้น
เหยียนหลิงจวินไม่ได้ตามไป และไม่ได้หลบเลี่ยงเพียงแต่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
ฉู่สวินหยางเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าคนผู้นั้นด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ถอนหายใจแผ่วเบาและกล่าวว่า “เจ้าลงจากเขามาครั้งนี้ก็เพราะเรื่องของท่านพี่ใช่หรือไม่? บัดนี้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆ ไม่ควรมา เรื่องราวทั้งหมดข้าและท่านพ่อแก้ไขได้”
แม้นางกับคนแซ่ฟางจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันนัก แต่อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาและบุตรี รูปร่างลักษณะของคนแซ่ฟางนั้นนางยังพอจะจดจำและแยกแยะได้
คนแซ่ฟางเดิมจะอาศัยช่วงเวลาชุลมุนหลบออกไป แต่กลับถูกคนเสื้อคลุมสีเทานั้นดึงเอาไว้ ทำให้ขาดสติไปครู่ เมื่อรอจนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีฉู่สวินหยางได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่สวินหยาง ดวงตาของนางปรากฏประกายวาววับอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเพียงครู่เดียวก็ถูกสายลมเย็นพัดผ่านกลายเป็นน้ำแข็งไป มองไม่เห็นร่องรอย…
ฉู่สวินหยางรู้ว่าเป็นนาง กลับไม่มีทีท่าประหลาดใจแม้แต่น้อย?
แม้กระทั่งเรื่องที่นางเร่งเดินทางลงจากเขาทั้งคืนยังถูกนางมองทะลุปรุโปร่ง แต่…
คนแซ่ฟางครุ่นคิด แววตาของนางก็ยิ่งลุ่มลึก…
เป็นฉู่ฉีเฟิงที่หงายไพ่ตายนี้ให้กับนางรู้ใช่หรือไม่? แม่นางผู้นี้ มีความสำคัญในจิตใจของเขาเพียงใดจึงได้รับความไว้วางใจจากเขาอย่างหมดใจเช่นนี้ การรู้เรื่องนี้ ทำให้จิตใจของนางไม่สงบขึ้นหลายส่วน
แววตาของคนแซ่ฟางวูบไหว กลับเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกสูญเสียการควบคุมตัวตนต่อหน้าฉู่สวินหยาง
เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนสีหน้าและอารมณ์ นางค่อยเดินไปด้านข้างสองก้าว แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “เมื่อสักครู่สองคนนั้นเป็นใครกัน?”
ฉู่สวินหยางเผชิญหน้าอยู่ด้านข้างของนาง แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนเพียงยิ้มบางๆ “ข้ากำลังจะถามท่านแม่เช่นกันว่าพวกเขาเป็นใครกัน? ทำไมท่านต้องลงมือกับหญิงสาวผู้นั้น?”
คนแซ่ฟางต้องการสังหารซื่อหรง มีเพียงเหตุผลเดียวที่แสดงออกอย่างชัดเจน…
ฉู่สวินหยางให้ข่าวกับนาง หากว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงฮ่องเต้ วังบูรพาทั้งวังก็ต้องได้รับเคราะห์ไปด้วย
แต่เมื่อฉู่สวินหยางถามขึ้นลอยๆ เช่นนี้ นางเองก็ยากที่จะตอบได้ จึงได้แต่หายใจลึกๆ ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่บังเอิญมาพบเข้า เรื่องนี้เจ้าจัดการประมาทเกินไป”
“เป็นคนเหล่านั้นที่บีบคั้นกันมากเกินไป ข้าถูกพวกเขากระตุ้นจนเป็นเช่นนี้” ฉู่สวินหยางกล่าว
แต่ไหนแต่ไรนางกับคนแซ่ฟางก็ไม่ได้สนิทกันมากถึงขั้นที่จะหยอกล้อกันได้ ความสัมพันธ์ของพวกนางยังสู้คนแปลกหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
คนแซ่ฟางเม้มปากแล้วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยพูดอีกว่า “ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าต้องไปก่อนแล้ว”
“อืม” ฉู่สวินหยางไม่ได้รั้งนางเอาไว้ เห็นนางหันกาย จึงถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้อย่างกะทันหัน “ท่านแม่จะกลับไปเยี่ยมท่านพ่อหรือไม่?”
“ไม่แล้ว” คนแซ่ฟางกล่าว และไม่ได้อธิบายอันใดเพิ่มเติม หันกายแล้วหายไปท่ามกลางความมืด
ฉู่สวินหยางมองส่งนาง ยืนอยู่ในมุมมืดไม่ขยับเนิ่นนาน
เหล่าองครักษ์ทำความสะอาดร่องรอยการต่อสู้และแยกย้ายกันไปด้วยตนเอง
เหยียนหลิงจวินจึงเดินเข้ามาจากด้านหลัง ยกมือขึ้นกดลงบนหัวไหล่ของนาง จากนั้นค่อยๆ โอบแขนรั้งตัวแล้วใช้มือโอบหัวไหล่ของนางเอาไว้ เกยคางบนลาดไหล่ของนาง พูดเสียงเบาว่า “มืดค่ำเช่นนี้ เวลานี้ยังออกนอกเมืองอีกหรือไม่?”
เวลานี้เข้าสู่เดือนเจ็ดแล้ว กลางคืนนั้นยิ่งมืดมิด ในตรอกแห่งนี้ค่อนข้างมืด การอยู่เช่นนี้ทำให้รู้สึกถึงความแน่นแฟ้นมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ฉู่สวินหยางหลุบตาลงต่ำมองแขนของชายหนุ่มที่โอบล้อมหัวไหล่ของนางเอาไว้ แล้วถามขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าจะไม่ถามข้าเลยสักนิดหรือว่าคนมากมายที่ปรากฏกายเมื่อครู่นี้เป็นใคร?”
เหยียนหลิงจวินฝังใบหน้าลงที่ริมหูของนาง เมื่อได้ยินแล้วจึงหัวเราะเบาๆ ออกมา “เจ้าเองก็ไม่รู้ไม่ใช่หรือ?”
พูดแล้วเขาก็ปล่อยตัวนาง จัดปกคอเสื้อแทนนาง “อีกประเดี๋ยวรอซูอี้กลับมาไม่แน่ว่าอาจจะได้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องของอุโมงค์ก็ได้”
ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก มองริมฝีปากของเขาที่โค้งขึ้นเป็นเส้น แววตาทั้งคู่เปลี่ยนเป็นซับซ้อนจนยากจะแยกแยะ
เกิดเรื่องน่าสงสัยขึ้นมากมายเช่นนี้ คงไม่มีใครที่จะไม่สงสัยอันใดเลย อีกทั้งแต่ละก้าวอันตรายยิ่งนัก หากกระทำโดยขาดความรอบคอบ แม้กระทั่งชีวิตของคนในครอบครัวก็ตกอยู่ในอันตราย
เวลานี้ ภายในใจของเหยียนหลิงจวินไม่มีทางที่จะไม่มีข้อกังขา
แต่เขากลับปิดปากสนิทไม่เอ่ยถาม
เขาเชื่อใจนางถึงเพียงนี้? หรือว่าเพียงเพื่อให้นางมีความเคารพนับถืออย่างที่นางควรจะมี?
“เหยียนหลิง” ในใจของฉู่สวินหยางพลันร้อนรุ่มขึ้นมา จึงก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวยื่นมือไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ฝังใบหน้าลงบนหัวไหล่และพูดอย่างเอาแต่ใจเล็กน้อยว่า “ข้าจะไปแคว้นฉู่”
“หึ…” กิริยาของเหยียนหลิงจวินคือยกมือขึ้นโอบกายนางอย่างเป็นธรรมชาติ ถูกท่าทางราวกับเด็กน้อยของนางทำให้รู้สึกโล่งสบายไปทั้งตัว ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่รอข่าวทางนี้จากซูอี้แล้วหรือไร?”
“ข่าวทางนี้รอกลับมาค่อยฟังก็เหมือนกัน” ฉู่สวินหยางกล่าว
——————————————————-