สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 66.2 รักษาเมืองทั้งห้าเอาไว้ เจ้าไสหัวไปซะ (2)

บทที่ 66.2 รักษาเมืองทั้งห้าเอาไว้ เจ้าไสหัวไปซะ (2)

 ได้ยินมาว่าคืนสองวันก่อนนั้นระหว่างการเดินทางสู่แคว้นชางคังจวิ้นอ๋องแห่งซีเยว่ได้เสี่ยงอันตราย ดูเหมือนจะใช้เวลาไปไม่น้อย ดังนั้นเมื่อคืนจึงกลับมาล่าช้าขอรับ  หลี่เหวยกล่าว

 มีความเป็นได้ถึงแปดส่วนว่าเป็นฝีมือของฉู่ซิ่น  องค์รัชทายาทหนานฮวาโบกไม้โบกมืออย่างไม่แยแส  เรื่องขัดแย้งภายในแคว้นของพวกเขา ไม่ต้องไปสนใจ เจ้าให้คนไปส่งจดหมายเรียกตัวเจ้าหกมาเถิด ในเมื่อเขามาที่นี่เพราะข้า หากข้าไม่ให้เขาพบหน้าสักครั้ง เกรงว่าเขาจะไม่ยอมรามือ 

 ขอรับ  หลี่เหวยรับคำแล้วถอยออกไป องค์รัชทายาทหนานฮวาหยิบเทียบเชิญบนโต๊ะขึ้นมาดูอีกครั้ง ในแววตาปรากฏรอยยิ้มลึกๆ…

ฉู่สวินหยางกลับแคล้วคลาด

สาวน้อยผู้นั้น…

ช่าง…

ดวงแข็งยิ่งนัก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงตาของเขาพลันโค้งขึ้น หัวเราะขึ้นอย่างประหลาด

ผ่านไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอกกระโจม เขาจึงรีบเก็บงำความรู้สึกและรวบรวมสติ นำเทียบเชิญนั้นเสียบไว้ใต้หนังสือกองหนึ่ง

จากนั้นสายตาจับจ้องที่ประตูกระโจมที่ถูกคนจากด้านนอกเปิดขึ้น องค์ชายหกสวมอาภรณ์ขุนนางราชสำนักสีม่วงเข้มเดินเข้ามาจากด้านนอก

 ข้าคารวะเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ  องค์ชายหกเดินขึ้นมาข้างหน้า คำนับด้วยรอยยิ้ม

แม้จะถือกำเนิดมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสง่างาม แต่แววตาของคนผู้นี้มีความเย็นชาและชั่วร้ายโดยกำเนิด ไม่ว่าผู้ใดก็ตามแต่ที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรกล้วนสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นสุขของคนผู้นี้

องค์รัชทายาทหนานฮวาหนังอยู่ด้านหลังโต๊ะโดยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใดใด เพียงยกมือขึ้นหยิบฝาถ้วยน้ำชา คิดได้ว่าน้ำชาเย็นชืดเสียแล้ว จึงเอ่ยขึ้นกับองครักษ์ที่เดินเข้ามาว่า  เปลี่ยนน้ำชาให้ข้าใหม่ 

 ขอรับ  องครักษ์ผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาออกไป เพียงไม่นานก็ยกน้ำชาเข้ามาให้กับทั้งสองคน

องค์ชายหกไม่ได้รู้สึกผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด ไม่ได้รู้สึกอิหลักอิเหลื่อถึงการมาโดยไม่ได้รับเชิญของตนเอง ถือถ้วยน้ำชาแล้วนั่งลงในตำแหน่งเก้าอี้รองลงมา พูดยิ้มๆ ว่า  งานของข้าเพิ่งจะเสร็จเรียบร้อย กำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานความคืบหน้า ผ่านเส้นทางนี้พอดี ได้ยินว่าท่านได้ตั้งค่ายอยู่ที่นี่ จึงแวะเข้ามาเพื่อทักทายท่าน ได้ยินมาว่าหลายวันนี้การศึกพบกับความยากลำบากอย่างยิ่ง ท่านสบายดีหรือไม่? 

 ต้องลำบากให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว  องค์รัชทายาทหนานฮวากล่าวเรียบๆ ถือถ้วยน้ำชาและเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ค่อยๆ ดื่มน้ำชา  แต่การมาของเจ้าครั้งนี้เป็นความกังวลที่ไร้เหตุผล เปิ่นกงกับเจ้านั้นเหมือนกัน คือผ่านเส้นทางด้วยงานราชกิจ และมาทันเวลากับการเปลี่ยนแปลงของค่ายทหารที่นี่ จึงได้มาดูสักหน่อย ส่วนเรื่องการศึกนั้น… 

เขาพูดแล้วกลับเจตนาหยุดลงดื้อๆ จากนั้นค่อยๆ กล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า  แม่ทัพของที่นี่ไม่ใช่ข้า และไม่ใช่หน้าที่ที่ข้าจะต้องมาถามไถ่ สองวันก่อนข้าได้ถวายฎีกากลับไปทางเมืองหลวงแล้ว เพื่อขอให้เสด็จพ่อตัดสินใจ 

เขามาที่นี่เพื่อช่วงชิงอำนาจทางทหารอย่างชัดเจน

เวลานี้ฉางซือหมิงถูกสังหาร ค่ายทหารเสมือนมังกรไร้หัว เป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด เขาจะปล่อยมือไปเช่นนี้หรือไร?

สายตาขององค์ชายหกทอประกายวาบ เกิดความสงสัยขึ้นในใจ

เขาหลุบตาลงดื่มน้ำชาคำหนึ่ง เพื่อปิดบังความรู้สึกในสายตาของตน เมื่อควบคุมสีหน้าของตนได้เป็นปกติแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมององค์รัชทายาทที่นั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยสายตาลังเลอยู่หลายส่วนพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า  เรื่องของแม่ทัพฉาง ข้าได้ยินมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่พะยะค่ะ? 

 เจ้าอยากฟังเรื่องจริงหรือไร?  องค์รัชทายาทหนานฮวาถาม

ฉางซือหมิงนั้นถูกเขาสังหารท่ามกลางการต่อสู้ของของทั้งสองฝ่าย แต่โชคไม่ดีที่ถูกฉู่สวินหยางยื่นมือเข้ามาสอด ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าในเวลานี้ด้านนอกลือกันเช่นใด…

ไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาซึ่งเป็นองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่ใจคอคับแคบ เพื่อแย่งชิงอำนาจทางทหารแล้วไม่อาจให้ขุนนางที่มีผลงานอยู่ร่วมโลกได้ จึงต้องทำการสังหารอีกฝ่ายอย่างหดหู่ใจหรือไม่ก็ตาม

และ…

ฎีกาลักษณะนี้ย่อมปรากฏอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้ในวันรุ่งขึ้นแน่นอน

องค์ชายหกหัวคิ้วกระตุกขึ้น พลันตระหนักขึ้นอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว ยิ้มแห้งเหยเกและกล่าวว่า  ข้าเชื่อในท่าน ไม่เชื่อเรื่องราวที่ลือกันอยู่ด้านนอก การที่ฉางซือหมิงกล้ากระทำการล่วงเกินท่านต่อหน้าธารกำนัล เดิมทีก็เป็นการมีเจตนาร้ายอยู่เดิม ไม่เคารพเชื้อพระวงศ์หนานฮวาของพวกเรา ท่านจะสั่งสอนเขาบ้างย่อมเป็นเรื่องสมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

องค์รัชทายาทหนานฮวายิ้ม ทว่าในรอยยิ้มนั้นกลับมีความขมขื่นอยู่หลายส่วน  จริงหรือ? ทว่าฉางซือหมิงเป็นบุตรชายของขุนนางอาวุโสในราชสำนัก น้องหก เจ้าเข้าใจการกระทำของข้า ทางด้านเสด็จพ่อ… 

องค์ชายหกหัวเราะเช่นเดิมขึ้นอีก ก้มหน้าลงดื่มน้ำชาเพื่อปิดบังสีหน้าของตน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงได้กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า  ถูกต้องแล้ว ฎีกาถูกส่งกลับไปตั้งแต่เมื่อไร? ผู้ที่เสด็จพ่อส่งมารับช่วงต่อนั้นจะมาถึงเมื่อใด? หากใช้เวลาไม่นานนัก ข้าก็จะรออยู่ที่นี่สักสองวัน รอรับผู้ที่จะมาทำหน้าที่ต่อแล้วจึงจะกลับเมืองหลวงพร้อมกับท่านคราเดียว 

 ข้า?  องค์รัชทายาทค่อยๆ ถอนใจออกมา แววตาทอประกายวาบอย่างประหลาด ทว่ากลับไม่ได้พูดอันใด

องค์ชายหกประเมินเขาอย่างเงียบๆ ต่อให้มองทะลุปรุโปร่งถึงสีหน้าแววตาของเขา

พี่น้องทั้งสองต่างฝ่ายต่างใช้คำพูดไม่ตรงกับใจประมือกันเนิ่นนาน องค์ชายหกไม่ได้ข่าวคราวคืบหน้าจากการมาลองหยั่งดูท่าที จึงหาเหตุผลเพื่อลุกขึ้นอำลาออกมา

 ฝ่าบาท  ผู้ติดตามของเขาอยู่ด้านอก รีบเข้ามา

 ไปเถิด  องค์ชายหกกล่าว พูดแล้วก็หันกลับไปมองกระโจมที่อยู่ด้านหลัง แววตาปรากฏจิตสังหารอย่างเย็นชาพาดผ่าน

เดินนำผู้ติดตามกลับถึงกระโจมของตน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงทันที สั่งการไปว่า  ให้คนไปสืบเรื่องฉางซือหมิง ดูว่าทางด้านเขามีปัญหาอันใด ข้าเห็นว่าคำพูดของเจ้าสามไม่จริงใจ คำพูดของเขามีปัญหาเป็นแน่ 

 ขอรับ  องครักษ์รับคำ หันกายออกไปอย่างรวดเร็ว

ทางด้านองค์รัชทายาทที่เพิ่งจะส่งองค์ชายหกออกไปไม่นานนัก หลี่เหวยก็กลับมารายงาน แจ้งว่าทางด้านฉู่ฉีเฟิงได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว

 ฝ่าบาท องค์ชายหกได้ทิ้งคนไว้ข้างนอกเพื่อสอดแนม เวลานี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง อย่าให้เขารู้ว่าท่านมีการติดต่อกับคนของซีเยว่ เพราะจะไม่เป็นการดี ให้ผู้น้อยไปล่อพวกเขาออกไปดีหรือไม่ขอรับ?  หลี่เหวยถาม

 ไม่ต้อง ในเมื่อเขาอยากตามก็ให้เขาตามเถอะ  องค์รัชทายาทหนานฮวากล่าวพร้อมกับหยิบเสื้อคุลมกันลมสวมอย่างรวดเร็ว จากนั้นเปิดประตูกระโจมเดินออกไป

เวลายามบ่าย ค่ายทหารทางนี้แผ่นดินและแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ มองไปแล้วทำให้คนมีความรู้สึกถึงจิตและวิญญาณ

เขาเจตนาเปลี่ยนอาภรณ์เป็นสีเข้มไม่ดึงดูดสายตาผู้คนนัก เดินนำหลี่เหวยออกจากค่ายทหาร ควบม้าตรงไปยังหุบเขาที่เป็นจุดนัดพบ ระหว่างทางได้แต่ครุ่นคิดเงียบๆ ถึงเจตนาของฝ่ายตรงข้ามที่นัดเขาออกมา

 ฉู่ซิ่นมีตำแหน่งสูงยิ่งในแคว้นซีเยว่ ไม่สามารถสั่นคลอนได้โดยง่าย และนั่นเป็นสุนักจิ้งจอกเฒ่า แม้ครั้งนี้จะถูกคนหนุ่มสาวทำให้เสียแผน แต่คังจวิ้นอ๋องสองพี่น้องคิดจะจับจุดอ่อนของเขาเอาไว้ในมือนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย  หลี่เหวยเดินไปด้วยคิดไปด้วยกล่าวว่า  เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาคิดจะเริ่มลงมือกับฝ่าบาทในเรื่องความผิดของฉู่ซิ่น เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนปัญหาที่ซ่อนอยู่นี้ด้วย? 

 หากเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนี้ย่อมเป็นการดี  องค์รัชทายาทหนานฮวาหรี่ตาลง มองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลๆ แม้ริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นเพียงคงไว้เช่นนั้นเอง ไม่ได้มีความหมายอันใด

หลี่เหวยหันไปมองเขา สีหน้าสงสัยยิ่งนัก

ที่จริงแล้วโดยส่วนใหญ่หลี่เหวยแทบจะไม่พูดอะไรมากมายนัก ยกเว้นครั้งนี้ที่ได้พบกับเรื่องที่มีความเกี่ยวพันแสนยุ่งยากซับซ้อน

 เรื่องในครั้งนี้เจ้าต้องคลี่คลายสถานการณ์เสียก่อน ต้องเริ่มพิจารณาจากจิตใจคน  องค์รัชทายาทหนานฮวากลับอารมณ์ดีอย่างหาได้ยากยิ่ง พูดช้าๆ พร้อมกับเล่นแส้ที่อยู่ในมือ  อย่าลืมว่าครั้งนี้ผู้ที่เกิดเรื่องคือฉู่สวินหยาง ต่อให้เป็นการพิจารณาถึงส่วนรวมก่อน ฉู่ฉีเฟิงต้องเลือกที่จะร่วมมือกับเปิ่นกงจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ตามที่ข้าเข้าใจเกี่ยวกับเขาสองพี่น้องนั้น… 

เขาพูดแล้วกลับส่ายหน้ายิ้ม บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกเสียดายหรือต้องการเย้ยหยัน  หากเป็นผู้อื่นก็ช่างเถอะ แต่ฉู่สวินหยางเกือบต้องตายเพราะข้า ต่อให้ในเวลานี้ถูกช่วยกลับมาแล้ว เจ้าว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรเล่า? 

 คังจวิ้นอ๋องเป็นทายาทเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทแห่งซีเยว่แล้วขอรับ  หลี่เหวยกล่าว

———————-

 

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

Status: Ongoing

วังหลวงโรยแสงกับสุราพิษหนึ่งจอก พี่ชายฝาแฝดสละชีพ สีเลือดชโลมลาน ตระกูลรัชทายาทถูกประหารยกครัว

โลหิตย้อมคม เทียนแดงร่ำไห้ เขาว่า จะไม่มีใครบนโลกนี้ล่วงรู้ฐานะแท้จริงของเจ้า เจ้าก็รั้งอยู่ข้างกายข้าอย่างสบายใจเถอะ

นางเป็นกากเดนในราชวงศ์ก่อน ฉากนองเลือดครั้งนี้ ก็แค่อุบายสวยหรูที่อ้างชื่อของความรัก!

นางฟื้นตื่นจากฝันร้าย ลืมตาอีกครั้ง…

นางยังเป็นองค์หญิงสวินหยางผู้ไร้เทียมทานคนเก่า

บิดาผู้ชุบเลี้ยงยังมี ชายผู้เป็นพี่ยังอยู่เคียงข้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่สายเกินแก้

นางรวบรวมไพร่พล สวมชุดนักรบกรุยทางแห่งอำนาจ นางจะพลิกบัลลังก์ด้วยคมดาบเปื้อนเลือดในมือ

ของของนาง นางจะปกป้อง

ของที่อยากได้ นางก็จะแย่งมา!

กบฏแห่งใต้หล้า นางมารล่มเมือง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท