จุดจบของการต่อสู้
ศิษย์ของปราสาทนภาอ้าปากค้าง ขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พลังของหานเซิ่นดูเหมือนจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับของไผ่เดียวดาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นเท่าเทียมกัน
เหล่าราชันสังเกตกระแสพลังของหานเซิ่น และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นมัน พวกเขารู้สึกเช่นเดียวกับศิษย์ของปราสาทนภา แต่พวกเขาสามารถเข้าใจได้มากกว่า
หานเซิ่นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับไผ่เดียวดายที่ตอนนี้กลายเป็นมาร์ควิส แต่ดูเหมือนว่ากระแสพลังของเขาไม่ได้ถูกข่มและมันก็กำลังทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จิตแห่งมีดของไผ่เดียวดายจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้ถูกบดขยี้ภายใต้ความหนักหน่วงของมัน
พวกเขาทั้งคู่กำลังปลดปล่อยพลังเข้มข้นที่น่าสะพรึงกลัวออกมา และมันเห็นได้ชัดเจนในสายตาของทุกคน ผู้ชมที่มองดูการต่อสู้อยู่ไม่สามารถมองเห็นหานเซิ่นและไผ่เดียวดายได้อีกต่อไป มันเห็นเพียงแค่ปีศาจที่ชั่วร้ายกำลังตัวสู้กับเงาหยกสีขาว เมื่อพลังทั้ง 2 ปะทะกัน มันก็เหมือนกับกลางวันและกลางคืน ไม่มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบและก็ไม่มีฝ่ายไหนที่คิดจะถอย
ตูม!
พลังของพวกเขาทั้งคู่ถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ซึ่งในตอนนี้แม้แต่ดรีมบีสต์ก็ไม่สามารถต้านพลังของพวกเขาทั้ง 2 ได้อีกต่อไป พลังของพวกเขารั่วไหลออกมา และทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนรู้สึกราวกับว่าหัวของพวกเขากำลังจะระเบิด
ไผ่เดียวดายคำราม เขายกมีดเขี้ยวผีสิงขึ้นเหนือหัวด้วย 2 มือ และเตรียมที่จะฟันลงมาใส่หานเซิ่นด้วยพลังทั้งหมด
ยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสคนอื่นๆดูตรึงเครียด พวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่มันไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว
ผู้นำของปราสาทนภาถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์และเตรียมตัวที่จะเข้าไปหยุดเอาไว้
หานเซิ่นชี้ดาบหยกออกไปที่ไผ่เดียวดาย เขาดูไม่หวาดกลัวเลยสักนิดเดียว
ร่างกายของไผ่เดียวดายและมีดเขี้ยวผีสิงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เปลวไฟที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขาปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าไผ่เดียวดายกำลังจะฟันลงมา มีดเขี้ยวผีสิงก็ยืนนิ่งไป ไผ่เดียวดายมองไปที่ดาบในมือของหานเซิ่นและสีหน้าของ
เขาก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าซับซ้อน
บนทุ่งหญ้าอันเขียวขจี เด็กสาวตัวน้อยผมหางม้าที่อายุเพียง 9 ขวบกำลังถือดาบหยกอยู่ในมือ เธอกำลังฝึกการใช้ดาบอยู่และมันเห็นได้ชัดว่าเธอยังเป็นแค่มือใหม่ เธอพลาดตีหัวของตัวเองและล้มลงไปบนพื้น หลังจากนั้นเธอก็โยนดาบทิ้งไปและเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา
“หว่านเอ๋อร์ ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม เขาย่อตัวลงข้างๆเธอและลูบหัวของเธอด้วยมือที่อ่อนโยน
“พี่ชาย น้องจะไม่ฝึกใช้ดาบอีกต่อไปแล้ว ดาบโง่นี้มันเพิ่งจะรังแกน้อง!” หว่านเอ๋อร์พูดขณะที่เช็ดน้ำตาของเธอ
“ดาบมันจะไปรังแกน้องได้ยังไง? ดาบน้อยนี้เป็นสิ่งที่จงรักภักดีที่สุด ถ้าน้องปฏิบัติกับมันอย่างดี มันก็จะดีต่อน้องเป็นการตอบแทน” ชายหนุ่มพูดขณะที่เก็บดาบหยกขึ้นมา
หว่านเอ๋อร์แบะปากและพูด “น้องก็ดีกับมันแล้ว น้องเช็ดมันจนสะอาด แถมยังทำให้มันมีกลิ่นหอมอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เชื่อฟังน้องอยู่ดี มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด!”
ชายหนุ่มหัวเราะ เขาหยิบดาบหยกขึ้นมาและลองกวัดแกว่งมัน ดาบหยกนั้นเบาหวิวในมือของเขาและว่องไวราวกับมังกรที่กำลังเต้นระบำ
“หว่านเอ๋อร์ การปฏิบัติกับมันเป็นอย่างดีคือการเข้าใจมัน เพียงแค่เช็ดมันให้สะอาดนั้นยังไม่พอ” ชายหนุ่มพูดและส่งดาบหยกคืนให้กับเด็กสาว หลังจากนั้นเขาก็ลูบหัวของเธอ
“น้องไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว น้องเกลียดมัน มันไม่เชื่อฟังน้องเลยสักนิด มันฟังแต่พี่ชายคนเดียว” หว่านเอ๋อร์ดูโกรธ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูมีความสุข
ในสวนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังก้มลงอยู่ข้างๆสระน้ำและอ้วกออกมาอย่างต่อเนื่อง
“พี่ชาย ทำไมพี่ถึงได้ดื่มมากขนาดนั้น?” หญิงสาวผมหางม้าเดินออกมาจากบ้าน เธอวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มและพยายามจะช่วยเขา
“ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของพี่” ชายหนุ่มพึมพา
“พี่ชาย ความล้มเหลวนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด น้องรู้ว่าพี่เก่งกาจ และน้องก็รู้ว่าพี่จะชนะได้ พี่อย่าเพิ่งยอมแพ้” หญิงสาวพูดจากใจจริงขณะที่พยุงชายหนุ่มขึ้นมา
ชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้นและสลบไป หญิงสาวพยายามดึงเขาขึ้นมา แต่เขาหนักเกินไป เธอวิ่งเข้าไปในบ้านและเอาผ้าห่มออกมาคลุมตัวของเขา หลังจากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆเขาและอธิษฐานต่อดวงดาว
“ถ้ามันมีพระเจ้าอยู่จริงๆล่ะก็ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยพี่ชายของข้าและชี้นำหนทางให้กับเขา ข้ายินดีจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น”
ภายใต้เสียงจันทร์ชายหนุ่มนอนน้ำตาไหลออกมาอยู่กับพื้น
“หว่านเอ๋อร์” ไผ่เดียวดายมองดาบหยกและขยับปากของเขา เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่ดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรหลายๆอย่าง
“ข้าจะตายไม่ได้… ข้าจะตายไม่ได้… ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณที่ร่อแร่… ข้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป…” ไผ่เดียวดายกัดฟัน ดวงตาของเขาดูเด็ดเดี่ยว
“ไผ่เดียวดายดูเหมือนจะกำลังตื่นขึ้นมา” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผู้นำของปราสาทนภาดูประหลาดใจ
ยวิ๋นฉางคงและเหล่าผู้อาวุโสเองก็ดูดีใจเช่นกัน แต่มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น
ปีศาจฝังลึกอยู่ในหัวใจของไผ่เดียวดาย ซึ่งแม้แต่เหล่าราชันก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มันถือเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ที่ไผ่เดียวดายได้สติกลับมาแบบนี้ แต่มันไม่มีหนทางที่เขาจะกำราบความต้องการจะทำลายล้างทุกสิ่งของปีศาจในหัวใจได้
หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอย่างประหลาดใจ ไผ่เดียวดายรู้สึกตัวขึ้นในจังหวะสุดท้าย เขายังไม่ยอมแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจ
ร่างกายของไผ่เดียวดายกำลังสั่นไหว เขาประสบกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ ความเศร้าโศกที่น่ากลัวและจิตแห่งมีดจางหายกลับเข้าไปในตัวของเขา
ทุกคนดูดีใจที่เห็นว่าไผ่เดียวดายผลักดันปีศาจกลับเข้าไปในตัวของเขาได้สำเร็จ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไผ่เดียวดายสามารถทำอย่างนั้นได้ยังไง
หานเซิ่นลดดาบหยกลงพร้อมกับมองไปที่ไผ่เดียวดาย พลังอันชั่วร้ายไม่ได้ปกคลุมสนามประลองอีกแล้ว
ไผ่เดียวดายโยนมีดเขี้ยวผีสิงกลับคืนไปให้หานเซิ่นและพูด
“ข้ากลายเป็นมาร์ควิสแล้ว ข้าไม่ควรที่จะต่อสู้ต่อไป เจ้าเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้”
หานเซิ่นรับมีดเขี้ยวผีสิงมาและโยนดาบหยกไปให้กับเขา
ไผ่เดียวดายรับดาบหยกและเก็บมันเข้าไปในฝักดาบ ดาบเล่มนั้นเป็นของที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับเขา
เมื่อเห็นไผ่เดียวดายเดินจากไป หานเซิ่นก็พูดกับตัวเอง “ถึงแม้ปีศาจจะเข้าครองร่างกายของเขา แต่หัวใจของเขายังมีนางฟ้าอยู่ เขาเป็นชายที่ประหลาดจริงๆ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความตื่นเต้นของการประลองในภาพรวม
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ถึงแม้การต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนั้น