ได้รับมีดขนนกโลหิต
“หานเซิ่น!” จู่ๆยวิ๋นซู่ซางก็พูดขึ้นมา
“หานเซิ่น? เจ้าหมายความว่ายังไง? เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับหานเซิ่นอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนหันไปมองยวิ๋นซู่ซางด้วยความสับสน
“ศิษย์พี่ลืมไปแล้วอย่างนั้นหรอ? หานเซิ่นได้อันดับที่หนึ่งในการสอบ และเขาก็เลือกรับวิชาใต้นภามาเป็นรางวัล” ยวิ๋นซู่ซางดูแปลกๆขณะที่พูดออกมา
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเลือกอะไร? เขาเป็นคนที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และข้าก็ไม่ได้ถามอะไรเขา?”
กระเรียนพันขนมองไปที่ยวิ๋นซู่ซางและถาม “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาเลือกวิชาใต้นภา?”
ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมาและเล่าถึงสถานการณ์ระหว่างหานเซิ่นกับยวิ๋นซู่อีให้เขาฟัง
เมื่อเธอเล่าเรื่องจนจบ ดวงตาของกระเรียนพันขนก็เบิกกว้าง
“นี่เจ้าจะบอกว่าหานเซิ่นเลือกวิชาใต้นภาเพื่อยวิ๋นซู่อีอย่างนั้นหรอ? และเขาก็ยังแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้ด้วยเวลาอันสั้นอีก? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสอนวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงให้กับนาง? เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อดูจากสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิชาใต้นภาของนางไม่มีข้อบกพร่องอะไร” ยวิ๋นซู่ซางพูด
“ถ้านี่เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าหานเซิ่นทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อปราสาทนภาอย่างมาก เขาแก้ปัญหาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เขาเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า” กระเรียนพันขนชื่นชมเขา
“ตอนนี้มันยังยากที่จะบอกได้ จำเอาไว้ว่าคู่ต่อสู้ของยวิ๋นซู่อียังเป็นแค่แองเกีย ถ้านางต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ พวกเราอาจจะได้เห็นปัญหาบางอย่างในวิชาฉบับปรับปรุงของหานเซิ่น”
ยวิ๋นซู่ซางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “เมื่องานนี้จบลงแล้ว พวกเราจะต้องพายวิ๋นซู่อีกลับไปหาท่านพ่อ”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน แองเกียก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
แองเกียนั้นแข็งแกร่งกว่ายวิ๋นซู่อีมาก ถ้ายวิ๋นซู่อีแข็งแกร่งเท่ากับมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป แองเกียก็เป็นเหมือนกับฉลามตัวใหญ่ เขาสามารถฆ่ายวิ๋นซู่อีได้อย่างง่ายดาย
แต่ในตอนนี้แองเกียเป็นเหมือนกับฉลามที่มาติดเบ็ด ยวิ๋นซู่อีจะหย่อนสายเบ็ดเมื่อไหร่ก็ตามที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นรน ด้วยเหตุนั้นแองเกียจึงไม่สามารถใช้พละกำลังหนีไปได้
แต่ทว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่แองเกียผ่อนแรง เขาก็จะถูกดึงกลับมา ตะขอนั้นฝังลึกเข้าไปในตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาไม่สามารถหลุดพ้นจากการรัดกุมของวิชาใต้นภาได้
“ข้าพ่ายแพ้แล้ว ศิษย์พี่ยวิ๋นแข็งแกร่งมากจริงๆ นี่คงจะต้องเป็นเทคนิคของตระกูลยวิ๋นที่มีชื่อว่าวิชาใต้นภา มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์และมันจะต้องเป็นหนึ่งในวิชามีดที่ดีสุดอย่างไม่ต้องสงสัย”
แองเกียนั้นชาญฉลาด เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะจนมุม ดังนั้นถึงจะดิ้นรนต่อไปมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นจากวิชาใต้นภาได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้และรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้
เขาพูดออกไปว่าวิชาใต้นภามาจากตระกูลยวิ๋นและเขาก็ยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้ต่อมัน แต่เขาไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่าเธอเรียนรู้มันมาจากหานเซิ่นเลยสักนิดเดียว
ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่เคยได้เห็นวิชาใต้นภามาก่อน และพวกเขาก็เพิ่งจะได้รู้ว่ามันคืออะไรหลังจากที่แองเกียพูดขึ้นมา
ยวิ๋นซู่อีเก็บมีดน้ำแข็งกลับเข้าฝักและพูด “วิชาใต้นภาเป็นวิชาที่มีข้อบกพร่องร้ายแรงตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งทำให้มันใช้งานในการต่อสู้จริงไม่ได้ แต่วิชาใต้นภาที่ข้าใช้นั้นเป็นวิชาใต้นภาที่ถูกหานเซิ่นปรับปรุงขึ้นมา ข้าเรียนรู้มันได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก และถ้าให้ข้าประมาณ ข้าก็ฝึกมันได้ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์ของหานเซิ่นเท่านั้น”
หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น ศิษย์ของปราสาทนภาทั้งหมดก็รู้สึกตกใจ อัจฉริยะมากมายของปราสาทนภาเคยพยายามที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภา แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขข้อบกพร่องสุดท้ายของมันได้ มันยากที่จะเชื่อว่าหานเซิ่นสามารถแก้ไขมันได้สำเร็จ
สีหน้าของแองเกียเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว ตอนนี้แม้แต่คนที่ชาญฉลาดอย่างเขาก็คิดอะไรไม่ออก
“ตอนนี้ข้าเอามีดขนนกโลหิตไปได้แล้วสินะ?” ยวิ๋นซู่อีพูดขณะที่มองไปที่แองเกีย
ยวิ๋นซู่อีโกรธที่แองเกียเย้ยหยันหานเซิ่น ดังนั้นเธอไม่คิดที่จะมีมารยาทอะไรกับเขา
“แน่นอนอยู่แล้ว วิชามีดของศิษย์พี่ยวิ๋นแข็งแกร่ง ดังนั้นมีดเล่มนี้ก็ควรที่จะตกเป็นของศิษย์พี่ยวิ๋น” แองเกียฝืนยิ้มออกมาและส่งกล่องให้กับยวิ๋นซู่อี
“ขอบคุณ” ยวิ๋นซู่อีรับกล่องมาและเดินลงจากสนามประลองไป
ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนรีบเข้าไปหาเธอ ยวิ๋นซู่ซางถามขึ้นมา
“ซู่อี ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรอ? เรื่องที่ข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วน่ะ”
“แน่นอนว่ามันเป็นความจริง” ยวิ๋นซู่อีพยักหน้า
“ไปกันเถอะ พวกเราต้องไปพบท่านพ่อ”
ยวิ๋นซู่ซางลากยวิ๋นซู่อีออกไป พวกเขาทั้ง 3 คนเดินทางออกจากเกาะเมฆาไปพร้อมๆกัน ข่าวเรื่องที่ข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วเป็นอะไรที่สำคัญเกินไป และเธอไม่สามารถรอจนกระทั่งงานจบลงได้
นอกจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็ได้รับมีดขนนกโลหิตมาแล้ว ดังนั้นยังไงซะงานก็จะจบลงในอีกไม่นาน
คนอื่นๆก็เริ่มที่จะจากไปเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็อยากจะรู้ว่าข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วจริงๆหรือเปล่า ถ้านั่นเป็นความจริง ปราสาทนภาก็จะมีวิชามีดที่สุดยอดเป็นของตัวเอง
แองเกียและเฟเธอร์คนอื่นๆดูสิ้นหวัง ไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมา
พวกเขาต้องการจะใช้หานเซิ่นเพื่อทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่แองเกียกลับพ่ายแพ้ให้กับคนที่เรียนรู้วิชามาจากหานเซิ่นแทน พวกเขาทุกคนรู้สึกเสียใจ นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ให้กับหานเซิ่นตรงๆซะอีก
พวกเขาจะไม่ได้รับชื่อเสียงอะไรจากงานในครั้งนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้มอบมีดขนนกโลหิตให้กับผู้อาวุโสสามตามที่วางแผนเอาไว้ และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือยวิ๋นซู่อีเอามีดเล่มนั้นไปโดยไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขาเลย ความล้มเหลวในครั้งนี้จะนำไปสู่การสูญเสียชื่อเสียง
นอกจากเรื่องที่แองเกียพ่ายแพ้ให้กับยวิ๋นซู่อีที่เรียนรู้วิชามาจากหานเซิ่นแล้ว เขาก็ยังได้พูดเย้ยหยันหานเซิ่นไปหลายครั้ง ซึ่งมันฟังดูน่าขำสิ้นดี
เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และทำให้เหล่าเฟเธอร์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อระบายความโกรธได้เช่นกัน ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือกล้ำกลืนมันเข้าไป
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าหานเซิ่นจะวางแผนการแบบนั้นเอาไว้ ข้าประมาทเขาเกินไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่แค่นักสู้ที่มีฝีมือดีเพียงอย่างเดียว” แองเกียกัดฟันของตัวเอง
เขาคิดว่าหานเซิ่นวางแผนการที่จะใช้ยวิ๋นซู่อีมาต่อสู้แทน แต่แน่นอนว่าเขาคิดมากไปเอง หานเซิ่นไม่เคยมีความคิดที่จะมาจัดการกับแองเกียเลย
ยวิ๋นซู่ซางพายวิ๋นซู่อีไปพบกับยวิ๋นฉางคง และพวกเธอก็บอกเขาถึงเรื่องที่หานเซิ่นสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาได้สำเร็จ
“เป็นความจริงอย่างนั้นหรอ? ซู่อี ไหนเจ้าลองแสดงมันให้พ่อดูหน่อย”
ยวิ๋นฉางคงไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาได้จริงๆ
เพราะยอดฝีมือมากมายเคยพยายามที่จะแก้ไขมัน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้มเหลว หานเซิ่นไม่ควรที่จะสามารถแก้ไขมันได้ในเวลาเพียงแค่เดือนเดียว ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่เมื่อยวิ๋นฉางคงได้เห็นการแสดงวิชาของยวิ๋นซู่อี เขาก็อ้าปากค้าง