ความฝัน
ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้หานเซิ่นอยู่บนเกาะความฝันมาได้ 3 เดือนแล้ว และเขาก็เริ่มที่จะเคยชินกับการที่มีกุญแจหัวใจนภาล็อคร่างกายเอาไว้
นอกจากการเคลื่อนไหวที่ช้าลงแล้ว เขาสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป
ตอนนี้ความเชี่ยวชาญในการขุดหาหินอัญมณีของหานเซิ่นเพิ่มสูงขึ้นมาก เขาสามารถหาหินอัญมณีสิบชิ้นได้ในเวลา 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หานเซิ่นมีความสุขที่สุดก็คือเรื่องที่วิชาโลหิตชีพจรพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ และตอนนี้รอยเลือดบนมีดขนนกโลหิตก็จางลงไปอย่างมาก
หานเซิ่นมีแผนที่จะดูดซับรอยเลือดที่ติดอยู่บนตัวมีดเข้าไปทั้งหมด เลือดนั้นสร้างความเสียหายต่อมีดขนนกโลหิต ดังนั้นถ้าหานเซิ่นดูดซับพวกมันทั้งหมดไปได้ บางทีมันอาจจะมีโอกาสทำให้มีดกลายเป็นมีดระดับเทพเจ้าอีกครั้ง หานเซิ่นเชื่อว่ายวิ๋นซู่อีคงจะไม่รังเกลียดในเรื่องนั้น
ดรีมบีสต์ไม่ค่อยพอใจที่เห็นหานเซิ่นมีเวลาว่างมาก ดังนั้นมันจึงเริ่มที่จะเรียกร้องหินอัญมณีเพิ่มขึ้นอีก มันต้องการทำให้แน่ใจว่าหานเซิ่นจะทำงานอยู่ใต้น้ำเป็นเวลาสิบชั่วโมงทุกๆวัน
และเนื่องจากมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ ดังนั้นหานเซิ่นจึงฝึกฝนวิชาลิ้นดาบไปด้วย ถึงมันจะไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก แต่ตอนนี้ลิ้นของเขาสามารถที่จะปล่อยพลังลมปราณออกมาเพื่อฆ่าศัตรูได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
แต่จนถึงตอนนี้หานเซิ่นยังไม่สามารถปลดล็อคกุญแจหัวใจนภาได้สักอัน บางทีเขาอาจจะทำไม่ถูกวิธีหรือมันมีปัญหาขัดข้องบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจ
หานเซิ่นจึงไปถามกระเรียนพันขนในตอนที่เขามาเยี่ยมที่เกาะ แต่กุญแจหัวใจนภาเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และกระเรียนพันขนก็ไม่เคยประสบด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้อะไรมากนัก
แต่กระเรียนพันขนรับปากว่าจะช่วยหาข้อมูลมาให้ มันมีศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งที่เคยได้รับกุญแจหัวใจนภา และเขาก็ใช้เวลากว่า 3 ปีก่อนที่จะปลดล็อคมันได้ แต่คนๆนั้นถูกล็อคเพียงแค่อันเดียวเท่านั้น
แต่หานเซิ่นถูกล็อคถึง 2 อัน ดังนั้นกระเรียนพันขนจึงไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่กันที่เขาจะปลดล็อคพวกมันได้
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป หานเซิ่นก็เคยชินกับกุญแจหัวใจนภามากขึ้น พวกมันแทบจะไม่ทรงผลอะไรต่อชีวิตประจำวันของเขาอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถปลดล็อคพวกมันได้
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งปี หานเซิ่นก็เริ่มจะคิดถึงครอบครัว เขาคิดถึงจีเหยียนหรัน หานหลิงเอ๋อหรือแม้แต่เสี่ยวฮวาที่ถูกแมวเก้าชีวิตพาตัวไป
“หานเซิ่นเป็นยังไงบ้าง?” ในปราสาท ผู้นำของปราสาทนภาถามดรีมบีสต์
“ก็ไม่เลว กุญแจหัวใจนภาดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับเขาอีกแล้ว” ดรีมบีสต์ตอบ
“ก็ไม่เลวอย่างนั้นหรอ? จากปากของเจ้า นั่นถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่มาก!” ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะ
ดรีมบีสต์ยิ้มออกมาและพูดต่อ “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้หานเซิ่นไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปซเทพโบราณ ไม่ใช่ไผ่เดียวดาย?”
ผู้นำของปราสาทนภาพูด “เจ้าก็รู้ถึงสถานการณ์ของไผ่เดียวดาย เขากลายเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรที่จะส่งเขาไปที่นั่น และมันก็อันตรายเกินกว่าที่จะส่งศิษย์คนอื่นๆเข้าไป”
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ผู้นำของปราสาทนภาก็พูดต่อ
“ข้าได้ให้สัญญากับอี๋ซาว่าจะทำให้หานเซิ่นกลายเป็นมาร์ควิส ไผ่เดียวดายไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอีกแล้ว ซึ่งตัวเลือกต่อไปที่ดีที่สุดก็คือเขา”
ดรีมบีสต์พยักหน้าและพูด “เขาเกือบจะสำเร็จแล้ว เขาคงจะเก่งขึ้นกว่านี้ไม่ได้อีกบนเกาะความฝัน ดังนั้นข้าคิดว่าตอนนี้ควรจะปล่อยเขาไปได้แล้ว”
“แต่มันควรจะเป็นเวลาหนึ่งปี และนี่นั่นมันเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้อีกครึ่งปีเสียไปเปล่าๆหรอกใช่ไหม?” ผู้นำของปราสาทนภายิ้ม
“เจ้ารู้เรื่องที่เขาได้รับมีดขนนกโลหิตใช่ไหม?” ดรีมบีสต์ถาม
ผู้นำของปราสานภาพยักหน้า เขามองไปที่ดรีมบีสต์ด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
“เขากำลังดูดซับเลือดของซีโน่เจเนอิคบนมีดเล่มนั้น และมันก็ได้ผล บางทีในอีกไม่กี่เดือน เลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดเล่มนั้นก็จะถูกดูดซับไปจนหมด” ดรีมบีสต์พูด
“นั่นเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?” ผู้นำของปราสาทนภาดูประหลาดใจอย่างมาก
“เฟเธอร์พยายามใช้วิธีต่างๆมากมายเพื่อจะลบล้างรอยเลือดนั้นออกไป แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล ตอนนี้หานเซิ่นกลับกำลังดูดซับมันเข้าไป? ถ้าพวกเขารู้ถึงเรื่องนี้เข้าล่ะก็ พวกเขาก็คงจะรู้สึกโกรธมากๆ” ดรีมบีสต์หัวเราะขณะที่พูดออกมา
“ถ้าเขาดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคออกมาได้ มีดขนนกโลหิตนั่นก็อาจจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง แต่มันจำเป็นต้องถูกตีขึ้นใหม่อีกครั้ง พวกเราควรจะจัดเตรียมในเรื่องนี้ เพื่อที่พวกเราจะได้มีอาวุธระดับเทพเจ้าของปราสาทนภาอีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะทำได้?” ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะ
“เมื่อไหร่กันที่เจ้านั่นจะกลับมา” จู่ๆดรีมบีสต์ก็ถามขึ้นมา
สีหน้าของปราสาทนภาดูลำบากใจ
ดรีมบีสต์พูดต่อเสียงแข็ง “ตำแหน่งผู้อาวุโสของปราสาทนภาไม่ควรจะถูกปล่อยว่างไว้เป็นเวลานาน ถ้าเขาไม่กลับมาจริงๆ พวกเราก็ต้องเตรียมแผนการบางอย่างเอาไว้”
ผู้นำของปราสาทนภาคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเรื่องนี้ เจ้านั่นไม่มีทางถูกฆ่าตายง่ายๆ บางทีมันอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่าง แต่เขาจะกลับมา”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ดรีมบีสต์พูดก่อนที่จะเดินออกไปจากปราสาท
“มันยังเหลือเวลาอีกครึ่งปี ถ้าเจ้ามีเวลา สอนเขาในสิ่งที่จะทำให้เขาเอารอดในซีโน่เจเนอิคสเปซเทพโบราณได้” ผู้นำของปราสาทนภาพูดกับดรีมบีสต์
“เขาไม่ใช่ศิษย์ของปราสาทนภา ทำไมข้าต้องทำอะไรแบบนั้น?” หลังจากที่พูดอย่างนั้น ดรีมบีสต์ก็เดินออกไป
เมื่อหานเซิ่นเก็บหินอัญมณีของวันนี้ได้ครบ เขาก็นำมันมาวางลงบนใบไม้ข้างๆดรีมบีสต์ หลังจากนั้นเขาก็กลับจะไปดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดขนนกโลหิตต่อ แต่จู่ๆดรีมบีสต์ก็พูดขึ้นมา
“จากนี้ต่อไปเจ้าไม่ต้องขุดเอาหินอัญมณีขึ้นมาอีกแล้ว”
หานเซิ่นดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ท่านจะยอมปล่อยข้าไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ยอมปล่อยเจ้าไป? นั่นเป็นไปไม่ได้” ดรีมบีสต์ยิ้มและมองไปที่ดวงตาของหานเซิ่น หานเซิ่นกำลังที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่การมองเห็นของเขาเริ่มที่จะเบลอๆไป
ภาพตรงหน้าของหานเซิ่นเริ่มเปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็ไปอยู่ในเมืองล้างแห่งหนึ่ง เขาตะโกนออกมา
“ท่านดรีมบีสต์ ไหนท่านบอกว่าถ้าข้าทำงานได้สำเร็จ ท่านจะไม่ส่งข้าเข้าไปในความฝันไง”
“ข้าแค่สัญญาว่าจะไม่ส่งเจ้าเข้าไปในความฝันอันน่าเศร้าเท่านั้น” เสียงของดรีมบีสต์ดังขึ้นในอากาศ
“ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นความฝันแบบไหนกัน?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันคือฝันร้าย” เสียงของดรีมบีสต์จางหายไป
หานเซิ่นต้องการจะถามอะไรอย่างอื่นอีก แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากซากปรักหักพัง ซีโน่เจเนอิคหลายตัวเริ่มปีนออกมาจากซากปรักหักพักและวิ่งเข้ามาหาหานเซิ่น
หานเซิ่นสังเกตว่ารอบๆตัวของเขานั้นมีซีโน่เจเนอิคอยู่เต็มไปหมด มันกำลังวิ่งเข้ามาหาเขาจากรอบด้าน แม้แต่บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยพวกมัน
‘เวรเอ้ย! นี่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น เราจะตื่นขึ้นเมื่อเราตาย’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
“ถ้าเจ้าตายในความฝันนี้ ร่างกายของเจ้าจะยังคงอยู่ดี แต่จิตใจของเจ้าจะสูญสิ้น ซึ่งเจ้าอาจจะตกอยู่ในสภาพผัก” เสียงของดรีมบีสต์ดังขึ้นอีกครั้ง