แสงสีแดงฉีกผ่านก้อนเมฆบนท้องฟ้า มันเป็นเหมือนกับภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง
“ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าในอนาคตต้องมาจบชีวิตลงในตอนนี้ มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งนัก”
ข่านมองไปที่แสงสีแดงบนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับว่าเขารู้สึกเวทนาจากใจจริง
“แต่นั่นคือสัจธรรมของโลกใบนี้ อัจฉริยะมากมายตายไปและกลายเป็นแค่ความทรงจำที่ลืมเลือน คนที่อยู่รอดและกลายเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จนั้นไม่ได้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่พวกเขาเป็นคนที่เอาตัวรอดได้ดีที่สุด น่าเสียดายที่ชีวิตของพวกเจ้าต้องจบลงเพียงเท่านี้” ข่านพูดกับตัวเองขณะที่มองแสงสีแดงที่กำลังจะจางหายไป
ไนท์โกสต์ที่เหลือรอดอยู่ร่วงลงมาที่พื้นหมดแล้ว พวกเขาสูญเสียเลือดมากเกินไป ร่างกายของพวกเขาสั่นรัวและไม่เหลือกำลังอีก จากไนท์โกสต์นับหมื่น ตอนนี้เหลือเพียงแค่ 4-5 พันคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
ดยุกสลีปเลสส์จ้องมองหอกเลือดปีศาจในมือและสังเกตเห็นว่ามันเป็นอาวุธที่ดูธรรมดาๆหลังจากที่ปลดปล่อยพลังออกไปแล้ว หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองสภาพไนท์โกสต์ที่เหลือรอดอยู่ ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่พวกเขาจะฝ่าการป้องกันของปราสาทนภาและไปเข้าร่วมกับเผ่าเดม่อน
“อย่างน้อยๆฝันร้ายก็จบลงแล้ว” ดยุกสลีปเลสส์ถอนหายใจ แต่ในจังหวะที่เธอจะคืนหอกให้กับข่าน เธอก็หยุดชะงักไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อแสงสีแดงเลือนหายไปจนหมดแล้ว ดยุกสลีปเลสส์ก็เห็นแสงสีฟ้าทรงกลมลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งมันก็คือโล่โปร่งใสสีฟ้าของหานเซิ่น
ถึงแม้มันจะถูกพลังของหอกเลือดปีศาจเข้าเต็มไปเต็มๆ แต่โล่สีฟ้าก็ยังไม่แตกสลาย แถมผิวของมันยังใสสะอาดราวกับว่าไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
หานเซิ่นและทั้ง 2 คนยังคงอยู่ภายในโล่เช่นเดิม พวกเขานั่งพักอย่างผ่อนคลายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้” ข่านเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ดวงตากำลังมองเห็น
หอกเลือดปีศาจเป็นอาวุธระดับราชัน แต่แล้วมันกลับไม่สามารถทำลายโล่ป้องกันที่มาร์ควิสคนหนึ่งสร้างขึ้นมาได้ นี่มันไม่สมเหตุสมผลสำหรับเขา ถึงแม้โล่ป้องกันจะเกิดจากสมบัติระดับราชันหรือเทพเจ้า แต่ด้วยพลังที่จำกัดของหานเซิ่น มันก็ไม่ควรจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
ดยุกสลีปเลสส์ต้องจ่ายเลือดของไนท์โกสต์ไปไม่รู้กี่พันคนเพียงเพื่อจะใช้พลังระดับราชัน แต่โล่ป้องกันของหานเซิ่นกลับยังคงสภาพอยู่ได้ โดยที่เขาไม่มีร่องรองความความเหนื่อยล้าหรือต้องสังเวยอะไรเลย
นี่เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลในสายตาของพวกเขา เพราะแม้แต่สมบัติระดับเทพเจ้าก็ไม่ควรจะทำอะไรแบบนั้นได้
ข่านและดยุกสลีปเลสส์ไม่มีทางรู้ได้ว่าที่หานเซิ่นใช้นั้นไม่ใช่สมบัติซีโน่เจเนอิค แต่เป็นวิญญาณอสูร
“ดูเหมือนว่าในตอนนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องหนีอีกแล้ว”
หานเซิ่นเรียกใบเสมาของราชาแมลงปีศาจกลับและชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา หลังจากนั้นเขาก็กระพือปีกและบินกลับลงไปที่ดาวไนท์โกสต์
ไผ่เดียวดายเองก็ตามหานเซิ่นกลับลงไปพร้อมกัน
หอกเลือดปีศาจได้ใช้พลังของเหล่าไนท์โกสต์ไปจนหมด ตอนนี้มันจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องหนีอีกต่อไป
เมื่อเห็นหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังบินลงมา พวกไนท์โกสต์ก็ต้องการจะเข้าไปหยุดทั้ง 2 คนเอาไว้ แต่พวกเขาสูญเสียเลือดมากเกินไป ทำให้พวกเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อสู้อีก
มีดลมปราณสีม่วงเข้มฉีกร่างของไนท์โกสต์ที่อ่อนแอขาดเป็นชิ้นๆด้วยพลังเขี้ยว
“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”
“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”
“ซีโน่เจเนอิคไนท์โกสต์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ คุณได้รับวิญญาณอสูรไนท์โกสต์”
…
ร่างของไนท์โกสต์มากมายถูกเฉือนเป็นชิ้นๆด้วยมีดเขี้ยวผีสิง เสียงประกาศดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของหานเซิ่น ขณะที่เขาไล่ฆ่าพวกไนท์โกสต์
นิ้วทั้งสิบของไผ่เดียวดายเป็นเหมือนกับดาบในตัวเอง ดาบแสงถูกฟันออกไปราวกับตาข่ายและสังหารไนท์โกสต์ทุกคนตรงหน้าของเขา
“ไม่!” ดยุกสลีปเลสส์รู้สึกหน้ามืดจนเกือบจะเป็นลมไป การสังเวยตั้งมากมายของเธอนั้นสูญเปล่า และมันยังทำให้เหล่าไนท์โกสต์ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
ดยุกสลีปเลสส์ร้องคำรามออกมา และด้วยจิตใจที่ไม่หวาดกลัวต่อความตาย เธอวิ่งเข้าไปหาหานเซิ่น
“เจ้าจัดการทั้งหมดนี่ได้สินะ” หานเซิ่นกระพือปีกและเทเลพอร์ตผ่านดยุกสลีปเลสส์ไป เขามุ่งหน้าไปหาข่านที่กำลังพยายามจะหนีไป
ดยุกสลีปเลสส์ต้องการจะฆ่าพวกเขาก็จริง แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดคือข่าน หานเซิ่นไม่คิดจะปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้
ข่านเห็นหานเซิ่นไล่ตามมาจากด้านหลัง และถึงเขาจะรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้รวดเร็วอย่างหานเซิ่น
“หานเซิ่น เจ้าอาจจะชนะในครั้งนี้ แต่ครั้งหน้าที่เราพบกัน เจ้าจะไม่โชคดีแบบนี้” ข่านนำกล่องโลหะกล่องหนึ่งออกมาและขว้างมันลงตรงหน้า
ฟันเฟืองภายในกล่องโลหะที่ดูเหมือนกับเครื่องจักรเริ่มหมุนวนและกลายเป็นนกยูงโลหะ
“ไป!” ข่านสั่งนกยูงโลหะ มันกางปีกออกและหางของมันก็เรืองแสงสีเขียวออกมา มันเริ่มบินออกไปด้วยความเร็วราวกับจรวด ทำให้ระยะห่างระหว่างข่านและหานเซิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“การจะหนีไปไม่ได้ง่ายแบบนั้นหรอก” หานเซิ่นลูบหัวของเป่าเอ๋อ หลังจากนั้นเป่าเอ๋อก็เรียกน้ำเต้าของเธอและปลดปล่อยคลาวด์บีสต์สีแดงออกมา
“เจ้าเมฆน้อย ถ้าเจ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไล่ตามชายคนนั้นไป ไม่อย่างนั้นข้าจะขังเจ้าไปอีก 500 ปี” หานเซิ่นพูดขณะที่ขึ้นไปเหยียบบนตัวของมัน
เจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงดูไม่เต็มใจนัก แต่ด้านหลังของมันก็เริ่มจะปลดปล่อยหมอกควันออกมา มันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง
ข่านขี่นกยูงโลหะออกไปสู่อวกาศด้วยความรู้สึกแย่อย่างที่สุด เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่แผนการทั้งหมดล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งนั่นจะทำให้เขาถูกบดขยี้โดยคู่แข่งภายในเผ่าเดม่อน
“ยังโชคดีที่เรานำสัตว์ขี่ระดับดยุกติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นเราคงจะไม่รอดแน่ๆ” ข่านคิดอย่างโล่งใจ
แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองด้านหลัง ขากรรไกรของเขาก็ค้างไป บางสิ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง เมื่อเขาเห็นถึงความเร็วของมันแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกราวกับว่านกยูงโลหะระดับดยุกหยุดเคลื่อนไหวอย่างไงอย่างงั้น