Super God Gene – ตอนที่ 2425
เส้นทางหินเป็นเหมือนกับที่พวกเขาเห็นในวิดีโอ พวกหานเซิ่นเดินทางมาถึงตำแหน่งที่มีรูปปั้นหินอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
แต่หานเซิ่นรู้สึกว่ายิ่งเข้าไปใกล้รูปปั้นมากเท่าไหร่ แรงกระตุ้นประหลาดก็รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อหานเซิ่นมองไปที่รูปปั้นที่น่าขนลุกนั่น ความรู้สึกก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้เขาตัวสั่น
ตอนนี้ดวงตานับไม่ถ้วนดูเหมือนกำลังมองมาที่เขา หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่ามีผีกำลังจ้องมองเขาอยู่ ความรู้สึกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าในตอนที่เขาเห็นในวิดีโอมาก มันเหมือนกับว่ามีสายธารที่ไม่มีที่สิ้นสุดกำลังออกมาจากมือเหล่านั้นเพื่อกลืนกินเขา
หานเซิ่นเปิดใช้งานวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อหวังจะหาความลับของรูปปั้น
ดวงตาของหานเซิ่นเริ่มแยกออกเป็น 4 แฉกของกลีบดอกไม้ หานเซิ่นหายใจเข้าลึกๆและหันสายตาไปที่รูปปั้น
ในจังหวะนั้นหานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองปีศาจที่ออกมาจากขุมนรก ก่อนที่เขาจะได้มองชัดๆ ความเจ็บปวดก็แทงเข้ามาในดวงตาข้างขวาของเขา เขารีบยกมือขึ้นมาปิดดวงตาของตัวเองเอาไว้
สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันสายตาไปที่อื่นและไม่กล้าหันกลับไปมองรูปปั้นอีก
“เจ้าเป็นอะไร?” คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์มองมาที่หานเซิ่น
“ข้าใช้วิชาดวงตาเพื่อมองไปที่รูปปั้นนั้น แต่มันเกือบที่จะทำให้ข้าตาบอด”
หานเซิ่นลดมือที่ใช้ปิดดวงตาลง ดวงตาของเขามีเลือดไหลออกมา
โชคดีที่เลือดของหานเซิ่นนั้นตกผลึก ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะสูญเสียเลือดจำนวนมากและอาจจะตายได้
“อย่าได้ใช้วิชาดวงตาของเจ้าเพื่อตรวจดูมันอีก ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ รูปปั้นนี้เกี่ยวข้องกับเทพแห่งดวงตา พลังของมันเชื่อมต่อโดยตรงกับการมองเห็น ถ้าเจ้าใช้วิชาดวงตาเพื่อมองดูมัน นั่นก็เหมือนกับการรนหาที่ตาย” ไนท์วินด์พูด
หานเซิ่นพยักหน้าเดินตามคุณหญิงมิร์เรอร์ไป
หลังจากที่พวกเขาเดินผ่านรูปปั้นไปแล้ว พวกเขาก็พบถ้ำหินที่เปื้อนไปด้วยเลือด มันดูเหมือนกับในวิดีโอ ยิ่งพวกเขาเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ เลือด และซากศพก็ปรากฏให้เห็นมากเท่านั้น ในที่สุดแล้วพวกเขาก็พบประตูอยู่ที่ปลายสุดของถ้ำ
ดยุกที่ถูกล่ามด้วยโซ่สสารเริ่มกรีดร้องออกมาอีกครั้ง เขาพยายามจะวิ่งเข้าไปหาประตูหิน ถ้าไนท์วินด์ไม่ได้คอยดึงดยุกคนนั้นเอาไว้ เขาก็คงจะเอาหัวของตัวเองฟาดกับประตูไปแล้ว
ประตูหินปิดสนิท และพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่เหนือประตูนี้ หานเซิ่นไม่กล้าใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงอีก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่มองดูมันด้วยดวงตาตัวเอง
ความเร่งเร้าที่จะไปเปิดประตูหินนั้นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แต่โชคดีที่พวกเขาทั้ง 3 คนมีจิตใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่ได้สูญเสียการควบคุมตัวเองเหมือนอย่างคนงานระดับดยุกคนนั้น
แต่ยิ่งเวลาผ่านไปความเร่งเร้าก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะทนอีกไม่ไหว
ประตูหินไม่มีตัวล็อคหรือด้ามจับ มันปิดสนิทจนเกือบจะไม่มีรอยต่อให้เห็น คนงานมากมายนับไม่ถ้วนพยายามจะเปิดมัน แต่ประตูนั้นไม่สะทกสะท้านต่อการโจมตีทางกายภาพของพวกเขา
ไนท์วินด์และคุณหญิงมิร์เรอร์แลกเปลี่ยนสายตากัน หลังจากนั้นไนท์วินด์ก็เริ่มรวบรวมพลังของตัวเอง พวกเขาต้องการจะใช้กำลังเพื่อเปิดประตูหิน
หานเซิ่นยืนถัดไปจากคุณหญิงมิร์เรอร์ ดวงตาข้างขวาของเขายังคงปูดและรู้สึกเจ็บแสบอยู่
ไนท์วินด์เคลื่อนไหวโซ่สสารของเขาที่กำลังลอยตัวอยู่ พวกมันตอบรับการเรียกของเขาและก่อตัวเป็นดาบสีดำ
เมื่อหานเซิ่นมองไปที่ดาบของไนท์วินด์ เขาก็พบว่ามันให้ความรู้สึกเดียวกับการมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ว่างเปล่า พลังของมันเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้
ไนท์วินด์ใช้ดาบสีดำในมือฟันฝ่ากลางประตูหิน ความมืดชนเข้ากับผิวของประตูราวกับขอบฟ้าอันมืดมิดที่สัมผัสกับพื้นดิน เขาฟันใส่ประตูซ้ำๆด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่ความมืดสัมผัสกับประตู ความมืดก็แตกสลายราวกับคลื่นน้ำ ขณะที่ประตูนั้นไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย พลังของไนท์วินด์สามารถทำลายดวงดาวทั้งดวงได้สบายๆ แต่ประตูนี้กลับไม่เป็นอะไรเลย
หินที่อยู่รอบๆพังทลายไปทั้งหมดโดยดาบแห่งความมืดนี้และเผยให้เห็นขอบของบานประตู แต่ประตูก็ยังคงไม่เปิด แต่ตอนนี้พวกเขามองเห็นรอบๆประตูที่อยู่เหนือขอบของมันขึ้นไป ประตูนั้นนำเข้าไปสู่เมืองหอคอย
เมืองหอคอยถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐสีดำ อิฐนั้นดูเหมือนกับหินสีดำที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในอุโมงค์ แต่พวกมันแข็งกว่ามากๆ แม้แต่พลังของไนท์วินด์ก็ทำได้แค่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้เท่านั้น
พลังจากดาบของไนท์วินด์ทำลายหินดำรอบประตูออกไปอีกและเผยให้เห็นคำ 3 คำที่สลักอยู่เหนือบานประตู หานเซิ่นสามารถอ่านคำ 3 คำนั้นได้ พวกมันถูกเขียนไว้ด้วยภาษาสามัญของจักรวาลจีโน
“เมืองดูก็อต”
“เมืองดูก็อต! นี่คือเมืองดูก็อต?!” ไนท์วินด์ร้องตะโกน แม้แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ตกตะลึง
“เมืองดูก็อตคืออะไร?” หานเซิ่นถามไนท์วินด์ เขาไม่เคยได้ยินชื่อของสถานที่นี้มาก่อน
ไนท์วินด์ตกตะลึง ดวงตาของเขาลุกเป็นไฟ ขณะที่มองไปที่คำ 3 คำเหนือประตู
“ตำนานบอกไว้ว่าแอนเชี่ยนท์ก็อตมีเมืองที่ทรงพลังในสมัยโบราณกาล ชื่อของเมืองๆนั้นก็คือเมืองดูก็อต เนื่องจากคนของแอนเชี่ยนท์ก็อตเป็นระดับเทพเจ้าตั้งแต่เกิด พวกเขาจึงเพิ่มระดับขึ้นไปมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ตำนานเล่าไว้ว่าคนที่มายังเมืองดูก็อตนั้นจะมีโอกาสที่จะก้าวข้ามระดับเทพเจ้าไปได้”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเมืองดูก็อตนั้นมีอยู่จริงๆ และถ้านี่เป็นเมืองดูก็อตของแอนเชี่ยนท์ก็อตจริงๆล่ะก็ แบบนั้นมันก็จะอธิบายว่าทำไมมันถึงมีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้นที่นี่ และบางทีมันอาจจะมีโอกาสที่พวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นได้”
ไนท์วินด์มองไปที่ประตูด้วยความตื่นเต้น เขาดูเหมือนจะลืมถึงอันตรายที่ต้องเจอไปซะสนิทเลย แต่หานเซิ่นไม่โทษไนท์วินด์ที่รู้สึกแบบนั้น เพราะแม้แต่ตอนที่เผ่าเซเคร็ดยังครองอำนาจอยู่ก็มียอดฝีมือน้อยคนนักที่จะก้าวข้ามระดับเทพเจ้าไปได้
แม้แต่แอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อตที่ทรงพลังก็ไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นได้ และเขากลายเป็นฝนเลือดที่ตกลงมาบำรุงโลกแทน
สำหรับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าส่วนใหญ่ การเข้าไปในจีโนฮอลล์เพื่อกลายเป็นเทพสปิริตนั้นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ถ้าเมืองดูก็อตมีบางสิ่งที่สามารถทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นเทพสปิริตได้จริงๆล่ะก็ นั่นก็เป็นอะไรที่เย้ายวนยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทุกคน
ยอดฝีมือระดับเทพเจ้ายังคงเป็นแค่คน และพวกเขาก็ยังเจ็บป่วยล้มตายได้ พวกเขาไม่ได้เป็นอมตะ แม้แต่ผู้นำของเซเคร็ดก็ยังพยายามจะค้นหากุญแจสู่ความเป็นอมตะเลย มันถือเป็นเรื่องปกติที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจะต้องการอะไรแบบนี้
“ถ้าเมืองดูก็อตเปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นเทพสปิริตจริงๆ แบบนั้นแอนเชี่ยนท์ก็อตก็ควรจะเป็นที่หนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่ทรงอำนาจที่สุดสิ” หานเซิ่นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่คำทั้ง 3 และพูดขึ้นมา “เมืองดูก็อตเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น มันไม่มีหลักฐานอะไรที่บอกว่านี่คือเมืองในตำนานนั่นจริงๆ และถ้านี่เป็นเมืองดูก็อตจริงๆ ทำไมมันถึงมาถูกฝังอยู่ในที่แบบนี้? พวกเราควรจะระวังตัวได้ดี”