Super God Gene – ตอนที่ 2641
‘เราควรจะพูดยังไงดี? นี่เราควรเดินเข้าไปบอกเธอตรงๆอย่างนั้นหรอ? มันจะเป็นอะไรที่น่าอับอายมากหลังจากที่เราทำเรื่องทั้งหมดลงไป’
หานเซิ่นคิดขณะที่เดินทางไปหาเอ็กซ์ควิสิท เขาพยายามคิดหาหนทางที่จะพูดเรื่องนี้กับเอ็กซ์ควิสิท แต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตู เขาก็เห็นเอ็กซ์ควิสิท เธอยังคงดูค่อนข้างซีดเซียว เธอเปิดปากขึ้นเพื่อจะพูด แต่ไม่มีเสียงออกมา
“ข้าพูดไปตรงๆไม่ได้ ข้าไม่” หานเซิ่นคิดขณะที่ยิ้มแห้งๆออกมา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? นี่เจ้ากำลังตามหาข้าอย่างนั้นหรอ?”
เอ็กซ์ควิสิทถามหานเซิ่น ใบหน้าของเธอไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกโดยสมบูรณ์ มันเหมือนกับว่าความล้มเหลวในการต่อสู้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอ เธอดูเหนื่อยๆ แต่นอกจากนั้นแล้วเธอก็ดูเหมือนเดิมทุกอย่าง
“ข้า…ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าเจ้าหายดีแล้วหรือยัง” หลังจากที่หานเซิ่นพูดออกไปแบบนั้น เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเอง มันฟังดูเหมือนกับว่าเขากำลังตอกย้ำความพ่ายแพ้ของเธอ
“ข้าเกือบหายดีแล้ว” เอ็กซ์ควิสิมพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“นั่นเยี่ยมไปเลย…นั่นเยี่ยมไปเลย…” ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่พูดเก่ง แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้อ้ำอึ้งขนาดนี้ ครั้งนี้เขาตะกุกตะกักราวกับไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไร
เอ็กซ์ควิสิทจ้องมองมาที่หานเซิ่นและปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างพวกเขา หานเซิ่นอ้าปากหลายครั้ง แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ แต่ที่สุดแล้วเขาก็พูดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะไม่รบกวนการรักษาตัวของเจ้า”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็หันกลับและเตรียมจะจากไป เขารู้สึกประหม่าเกินกว่าจะบอกเธอได้ว่าเขาต้องการอะไร
แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนหัวเราะ
จู่ๆเอ็กซ์ควิสิทก็หัวเราะขึ้นมา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจ เขาไม่รู้ว่าเธอหัวเราะเรื่องอะไร แต่มันทำให้เธอดูเป็นคนที่อัธยาศัยดีกว่าก่อนหน้านี้
เอ็กซ์ควิสิทสบสายตากับหานเซิ่น และนางหน้าแดงชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นใบหน้าของเธอก็กลับไปดูสงบนิ่งอีกครั้ง
“ผู้นำปราสาทนภาได้บอกข้าว่าตอนนี้เจ้าเกิดเปลี่ยนใจและยินดีจะตามข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ นั่นเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?”
‘จิ้งจอกเฒ่านั่นขายเราอีกแล้ว!’ หานเซิ่นสบถในหัวของเขา ทันใดนั้นเขาก็ดูอึดอัดยิ่งไปกว่าเดิม เขาไม่ได้คิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะรู้เหตุผลที่เขามาเยี่ยมเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรอเขาอยู่ และนี่เขามาอ้ำๆอึ้งๆต่อหน้าเธอก่อนที่จะหันหลังกลับ ไม่แปลกใจเลยที่เอ็กซ์ควิสิทจะหัวเราะออกมา หานเซิ่นรู้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาย้อนมองเรื่องนี้ เขาก็คงจะหัวเราะออกมาเช่นกัน
เมื่อหานเซิ่นรู้สึกตัวว่าการมัวอับอายต่อไปนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพยักหน้า
“ใช่ ข้าอยากจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮร่วมกับเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่จะรับตัวข้าไปหลังจากเรื่องทั้งหมดนี่เกิดขึ้น”
“ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจ?” เอ็กซ์ควิสิทถาม ใบหน้าของเธอยังคงดูสงบนิ่ง
“มันมีเหตุผลหลายอย่าง ข้าคงอธิบายพวกมันไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญคือข้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร” คำอธิบายของหานเซิ่นนั้นกำกวมมากๆ
“ข้าจะกลับไปที่เผ่าเวรี่ไฮในอีกสองวัน เจ้าควรไปเตรียมตัว” เอ็กซ์ควิสิทพูด
หานเซิ่นแปลกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะพูดด้วยง่ายขนาดนี้
หานเซิ่นอ้าปากขึ้น แต่เขาไม่แน่ใจควรจะพูดอะไรกับเธออีก ตั้งแต่ที่การสนทนานี้เริ่มต้นขึ้น เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากพูดในสิ่งที่ผิด ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงตัดสินใจบอกลาเอ็กซ์ควิสิท
เมื่อหานเซิ่นกลับไปแล้ว ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเอ็กซ์ควิสิทก็หายไป จู่ๆสีหน้าของเธอก็ดูซับซ้อน
หานเซิ่นมีเวลาเพียงแค่สองวันในการเตรียมตัว โชคดีที่มันไม่มีอะไรที่เขาต้องจัดการมากนัก เขาบอกคนใกล้ชิดว่าเขากำลังจะออกเดินทางในเร็วๆนี้
ในตอนที่หานเซิ่นบอกกับไผ่เดียวดาย ไผ่เดียวดายก็ถามขึ้นมา
“เจ้าตัดสินใจจะไปที่นั่นอย่างนั้นหรอ?”
“ถ้าข้าไม่ไป ข้าจะไม่ได้ทะเลดารากรมาครอบครอง ข้าจะต้องไปที่นั่น” หานเซิ่นพูด
“ข้าหวังว่าเจ้าจะมีรอดชีวิตกลับมา” ไผ่เดียวดายพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง
“อย่าพูดเหมือนกับว่าข้ากำลังจะไปตาย ข้าจะกลับมาในสี่ปี” หานเซิ่นพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ถ้าเจ้าไปในฐานะตัวไหมธรรมดา สี่ปีก็ถือเป็นเวลาสั้นๆ แต่เจ้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง การเดินทางไปที่เผ่าเวรี่ไฮของเจ้าจึงเป็นการเดินทางที่อันตราย”
ไผ่เดียวดายไม่ได้รู้ถึงจุดประสงค์ที่หานเซิ่นไปที่นั่น แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง
การตามหาคนๆหนึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่การโกหกเกี่ยวกับเจตนาของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเวรี่ไฮจะมองข้าม ถ้าเผ่าเวรี่ไฮรู้เรื่องนี้เข้า มันก็มีโอกาสสูงที่หานเซิ่นจะได้รับบทลงโทษ
แต่หานเซิ่นมั่นใจกับวิธีการของตัวเอง ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าจะไม่เป็นอะไร เขาก็คงจะไม่เสี่ยงไปที่เผ่าเวรี่ไฮ
หลังจากที่หานเซิ่นจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในเมืองราชาดำเป็นครั้งสุดท้าย เขาบอกลาผู้คนที่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นเขาก็ไปหาผู้นำปราสาทนภา
ผู้นำปราสาทนภาบอกวิธีการปกป้องจิตใจจากเผ่าเวรี่ไฮ ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้ฝากความหวังเอาไว้กับมันมาก แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะฟังเทคนิคของผู้นำของปราสาทนภา
สองวันผ่านไปในชั่วพริบตา หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อขึ้นยานอวกาศร่วมกับเอ็กซ์ควิสิทเพื่อเดินทางออกจากปราสาทนภา เอ็กซ์ควิสิทเป็นคนกำหนดเส้นทางของพวกเขา
ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตมากมายถูกเลือกโดยเผ่าเวรี่ไฮ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้คนไม่มากนักที่รู้ว่าจริงๆแล้วเผ่าเวรี่ไฮนั้นตั้งอยู่ที่ไหน
จากคำพูดของผู้นำปราสาทนภา ซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ มันไม่ได้ตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
“มันก็เป็นแค่ซีโน่เจเนอิคสเปชที่เคลื่อนที่ได้” หานเซิ่นไม่คิดว่านั่นเป็นอะไรที่พิเศษมากนัก เพราะเขาเคยเห็นปราสาทนภาใช้แส้ไล่ดวงดาวเพื่อเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูนมาแล้ว
เขาเดิมพันว่าถ้าปราสาทนภาทำได้ เผ่าเวรี่ไฮก็คงจะทำได้เช่นเดียวกัน การเคลื่อนย้ายซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นควรจะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปสำหรับพวกเขา
หลังจากที่ยานอวกาศออกจากปราสาทนภา เอ็กซ์ควิสิทก็เปิดใช้ระบบการบินอัตโนมัติเพื่อให้ยานอวกาศบินไปเอง หลังจากนั้นเธอก็นำเอายานขนาดเท่าใบไม้เล็กๆออกมา มันลอยตัวอยู่ในอากาศและเริ่มจะขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเรือพายทั่วๆไป
“พวกเราจะใช้ยานนี้ไปที่เผ่าเวรี่ไฮอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นและเป่าเอ๋อมองไปยานอวกาศลำที่สองด้วยความสงสัย
“มีเพียงแค่ยานนี้ที่จะพาพวกเรากลับไป” เอ็กซ์ควิสิทพูด เธอขึ้นไปบนยานลำที่สองและนั่งลงที่ด้านหน้าสุด
หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อตามขึ้นไปบนยานลำเล็กนั้น หลังจากที่พวกเขานั่งลง เอ็กซ์ควิสิทก็แตะผิวของยาน ทันใดนั้นยานที่มีรูปร่างเหมือนกับเรือพายก็เริ่มบินออกไป ในชั่วครู่ยานลำนั้นก็ผ่าอวกาศและรอดเข้าไปในสับสเปช ในตอนที่หานเซิ่นได้เห็นซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮ เขาก็อึ้งไป
ซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮดูเหมือนจะตั้งอยู่ในสับสเปช ก่อนการเดินทางครั้งนี้ หานเซิ่นไม่เคยจินตนาการว่ามันเป็นไปได้ที่จะคงผืนดินภายในสับสเปช หานเซิ่นตกตะลึงกับทัศนียภาพ
“นี่โลกปฏิสสารมีอยู่จริงๆหรือเนี่ย?” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่มองผ่านหน้าต่างของยานออกไป
“จริงๆแล้วที่แห่งนี้อยู่ระหว่างโลกความเป็นจริงและโลกปฏิสสาร นี่ไม่ใช่โลกปฏิสสารจริงๆ เจ้าอาจจะเรียกมันว่าสับสเปช แต่พวกเราเรียกมันว่าเอาท์เตอร์สกาย” เอ็กซ์ควิสิทอธิบาย
“ดินแดนแห่งนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอดหรือว่ามันถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปยังดินแดนที่เหมือนกับสรวงสวรรค์ตรงหน้า