Super God Gene – ตอนที่ 2915 ดาบก็อตพันนิชเมนต์
‘ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นเพิ่งผ่านมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ ไม่อย่างนั้นถึงแม้ซีโน่เจเนอิคจะถูกเคลียร์ออกไป มันก็จะมีซีโน่เจเนอิคมาเพิ่มอีก’ หานเซิ่นคิด
การจะมาที่ระบบจักรวาลร้างและฆ่าซีโน่เจเนอิคที่ขวางทางนั้นไม่ใช่สิ่งที่ระดับเทพเจ้าทั่วๆไปจะทำได้
“สิ่งมีชีวิตที่เก็บกวาดซีโน่เจเนอิคแถวนี้ต้องเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตที่แข็งแกร่งไม่ผิดแน่” หานเซิ่นมองไปรอบๆขณะที่บินต่อไปข้างหน้า
ถ้ามันมีสิ่งมีชีวิตอื่นมาที่นี่ นั่นก็หมายความว่าหานเซิ่นมาถูกทางแล้ว ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าจะได้เจอเสี่ยวฮวาหรือเปล่า แต่เขาก็รู้ว่าต้องพบอะไรบางอย่าง
ฝุ่นควันสีเทากระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งอวกาศดูเหมือนกับว่ากำลังมีหิมะตก มันเป็นภาพที่แปลกประหลาดมากๆ
หลังจากที่บินไปได้สักพัก ดาวขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเซิ่น ดาวดวงนั้นใหญ่เป็นสามเท่าของดาวลูก้า แต่มีดาบใหญ่เล่มหนึ่งตัดผ่านดวงดวงไปครึ่งหนึ่ง ดาบเล่มนั้นใหญ่ขนาดที่ผู้คนไม่สามารถจินตนาการถึงความใหญ่มันได้ มันเหมือนกับมีดผลไม้ตัดผ่านครึ่งหนึ่งของลูกแอปเปิล
“เป็นดาบที่ใหญ่อะไรขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตแบบไหนกันที่ใช้มัน ทำไมดาบนี่ถึงได้ตัดผ่านดวงดาว? และทำไมดาวดวงถึงไม่ระเบิด?” หานเซิ่นมองไปที่ดวงดาวและดาบด้วยความสงสัย
เนื่องจากพื้นผิวของดวงดาวและดาบนั้นถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนา หานเซิ่นจึงเห็นเพียงแค่รูปร่างของมันเท่านั้น เขาไม่สามารถบอกถึงรายละเอียดอะไรได้
หานเซิ่นใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อจะสแกนดวงดาวและดาบ เขารู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่ามันไม่ใช่ดวงดาวธรรมดาทั่วไป มันเป็นดวงดาวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือคน โครงสร้างภายในของมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยมือคนทั้งหมด ไม่แปลกใจเลยที่ถึงแม้จะมีดาบเล่มหนึ่งตัดผ่านครึ่งหนึ่งของดวงดาว ดวงดาวก็ไม่ระเบิด
หานเซิ่นบินไปตรงหน้าดาบเล่มใหญ่และสะบัดมือปัดฝุ่นสีเทาที่ปกคลุมผิวดาบ ในตอนที่ฝุ่นสีเทาหลุดออกไป รูปลักษณ์ที่แท้จริงของดาบก็เผยออกมาให้เห็น
น่าประหลาดใจดาบใหญ่นั้นเป็นดาบหิน มันดูเหมือนกับหินแกรนิต หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปสัมผัสดาบและสังเกตได้ว่าเนื้อของดาบนั้นแข็งมากๆ เขาไม่สามารถทำลายเนื้อหินของดาบได้ เขาทำได้แค่ทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดของดาบแล้ว มันดูเล็กกระจิดริด
“เนื้อของดาบเล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นหินจริงๆ แต่หินนี่จะไม่แข็งเกินไปหน่อยหรอ”
หานเซิ่นมองไปที่ดาบเล่มใหญ่ด้วยความแปลกใจ เขาพยายามจะดึงดาบออกมา แต่มันหนักมากๆ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้เขาไม่สามารถดึงมันออกมาได้
‘ไม่แปลกใจเลยที่มันยังติดอยู่ที่นี่ ไม่มีใครจะเคลื่อยย้ายมันไปได้’
หานเซิ่นมองไปที่ดาบเล่มใหญ่และคิด ‘ดาบเล่มนี้คงจะถูกทิ้งไว้จากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เซเคร็ดล่มสลาย แต่สิ่งมีชีวิตที่ทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลังเป็นคนของเซเคร็ดหรือว่าเป็นศัตรูกันแน่?’
ในตอนที่หานเซิ่นเตรียมตัวจะเดินทางต่อ จู่ๆเขาก็ขมวดคิ้ว เขาเทเลพอร์ตไปซ่อนตัวอยู่บนดวงดาว
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวในอวกาศ มันมีคนห้าคนฉีกมิติของอวกาศออกมา พวกเขาเข้ามาหาดาบเล่มใหญ่
หานเซิ่นมองไปที่ผู้คนเหล่านั้นและสังเกตเห็นว่าผู้นำของคนที่มาก็คือราชครูกู่เยวียนจากเอ็กซ์ตรีมคิง
“ราชครูกู่เยวียน ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?”
หานเซิ่นไม่รู้จักคนอื่นที่มากับราชครูกู่เยวียน แต่เมื่อดูจากออร่าของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็คงจะเป็นระดับเทพเจ้าขั้นสูงกันทุกคน
“เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงมียอดฝีมืออยู่เยอะจริงๆ เราไม่เคยเห็นคนพวกนี้มาก่อน แต่พวกเขาเป็นถึงขั้นบัตเตอร์ฟลาย ทำไมพวกเขาถึงติดตามราชครูกู่เยวียนเข้ามาในระบบจักรวาลร้าง พวกเขากำลังทำอะไรอยู่? เป็นพวกเขางั้นหรอที่เก็บกวาดซีโน่เจเนอิคแถวๆนี้ไปจนหมด?” หานเซิ่นรู้สึกสับสน
เมื่อมองดูดีๆ หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้มาเพื่อดาบเล่มใหญ่ ดูเหมือนว่าพวกเขาแค่หยุดพูดคุยกันชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาจะกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับหานเซิ่น
เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าคนหนึ่งมองไปที่ดาบเล่มใหญ่และถาม
“ท่านราชครู นี่คือดาบก็อตพันนิชเมนต์ในตำนานใช่ไหม?”
ราชครูกู่เยวียนมองไปที่ดาบเล่มใหญ่และพูด “ใช่ นี่คือดาบก็อตพันนิชเมนต์ มันเป็นอาวุธที่ถูกใช้โดยพระเจ้า น่าเสียดายที่มันเป็นของพระเจ้า มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรกับเซเคร็ด ถึงแม้เซเคร็ดจะล่มสลายไป แต่พระเจ้าหลายคนก็ถูกฆ่าตายที่นี่ ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของดาบก็อตพันนิชเมนต์นั้นถูกฆ่าตายไปในการต่อสู้กับเซเคร็ด ตั้งแต่นั้นมามันก็ไม่มีใครเคลื่อนย้ายดาบได้ ดาบพันนิชเมนต์อยู่ที่นี่มาเป็นเวลามากกว่าล้านปี”
“ตำนานบอกว่านอกจากเทพสปิริตแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนจะเคลื่อนย้ายดาบเล่มนี้ได้ นั่นเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?” เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าพูด
“ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นที่เคลื่อนย้ายมันได้ ดาบนี่คงจะไม่อยู่ที่นี่มาจนถึงทุกวันนี้”
ราชครูกู่เยวียนหยุดไปชั่วครู่และพูดต่อ “ฝุ่นบนผิวดาบถูกปัดออกไป ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้จะมียอดฝีมือคนอื่นมาที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา”
หานเซิ่นคิด ‘เขาสังเกตดาบเล่มใหญ่ แต่เขาไม่ได้สนใจดาบ เขากำลังมองหาร่องรอยที่เราทิ้งเอาไว้ โชคดีที่เราใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อลบหลักฐานทุกอย่างออกไป มันควรจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจจับร่องรอยของเรา’
“เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นผู้นำปราสาทนภา?” เอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ข้าไม่คิดแบบนั้น” ราชครูกู่เยวียนส่ายหัวของเขา เขามองไปที่ข้างหน้าและพูด
“ไปกันเถอะ พวกเราจะปล่อยให้คนอื่นตัดหน้าพวกเราไม่ได้”
หลังจากที่ราชครูกู่เยวียนและคนอื่นไปแล้ว หานเซิ่นก็ออกมาจากดวงดาว
“ผู้นำปราสาทนภา? นั่นคือคนที่เราเคยพบในประตูของก็อตแซงชัวรี่อย่างนั้นหรอ? คนของเอ็กซ์ตรีมคิงและปราสาทนภาอยู่ที่นี่ พวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรกัน?” หานเซิ่นอยากรู้
ทันใดนั้นจู่ๆหานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่ความว่างเปล่าและพูด
“ถ้าราชครูอยู่ที่นี่ ทำไมยังเสียเวลาซ่อนตัวอยู่อีก?”
“ข้าสังเกตว่าเจ้าซ่อนตัวจากข้า ข้าจึงคิดไปว่าเจ้านั้นไม่ต้องการพบกับข้า ด้วยเหตุนั้นข้าจึงไม่ได้ออกมาให้เจ้าเห็น”
ในอวกาศที่ว่างเปล่า ร่างกายของราชครูกู่เยวียนค่อยๆปรากฏออกมาให้เห็น
“ราชครูช่างเป็นคนที่คิดถึงจิตใจผู้อื่น ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” หานเซิ่นหันกลับและเตรียมตัวจะจากไป
“ก็อดฟาเธอร์หานได้โปรดรอก่อน” ราชครูกู่เยวียนพูด
“ในเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่ภายในระบบจักรวาลร้าง เจ้าก็คงจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง บอกข้าได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าอีกสี่คนก็บินกลับมา พวกเขาจดจำหานเซิ่นได้และดูแปลกใจที่ได้เห็นหานเซิ่นที่นี่
หานเซิ่นที่พวกเขารู้จักคือก็อดฟาเธอร์หาน ผู้จุดดวงตะเกียงของคริสตัลไลเซอร์และฆ่าผู้นำเผ่าเดสทรอยเยอร์ มันไม่ใช่หานเซิ่นที่ปลอมตัวเป็นองค์ชายของเอ็กซ์ตรีมคิง
ส่วนเรื่องที่หานเซิ่นเคยปลอมตัวเป็นองค์ชายของเอ็กซ์ตรีมคิงนั้นถึงแม้พวกเขาจะเคยได้ยินมาก่อน แต่พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมันมากนัก
ในตอนแรกพวกเขาจะเข้าไปล้อมหานเซิ่นเอาไว้ แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าหานเซิ่นเป็นใคร พวกเขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
ถ้าเป็นระดับเทพเจ้าคนอื่นๆ ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นยอดฝีมือขั้นทรูก็อต พวกเขาก็จะไม่หวาดกลัวด้วยการที่ราชครูอยู่ที่นี่ด้วย
แต่พวกเขารู้ว่าในระหว่างการต่อสู้เพื่อจุดตะเกียงเผ่าพันธุ์ หานเซิ่นได้เปลี่ยนเบิร์นนิ่งแลมป์ให้กลายเป็นสามัญชน ภาพนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจเกินไป ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเกรงกลัวหานเซิ่น พวกเขาฝึกฝนอย่างยากลำบากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาไม่ต้องการจะกลับไปเป็นสามัญชนอีกครั้ง