ตอนที่ 390 ไม่ให้เจ้าตาย
“คงไม่ได้นึกถึงยาคืนชีพหรอกนะ!”
หลิงอวี้จื้อถามหยั่งเชิง
นางเคยได้ยินสาวใช้ที่สำนักอู๋จี๋พูดถึงยาคืนชีพเมื่อก่อนหน้านี้
ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าไม่มีทาง เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง
ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจว่าการฟื้นคืนชีพที่เจียงสือพูดถึงหมายถึงอะไร หากได้ชีวิตคืนมาในรูปแบบนี้ เช่นนั้นสู้นอนอยู่ในดินตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ
เช่นนี้เรียกว่ามีชีวิตเสียที่ไหน อย่างนี้เรียกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตายแล้วกลายเป็นแบบนี้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป
มั่วชิงพยักหน้า
“เป็นไปได้สูงเจ้าค่ะ ตอนที่ข้ายังไม่ออกจากสำนักอู๋จี๋ อาจารย์ก็เริ่มฝึกปรุงยาคืนชีพแล้ว พวกเรากลับไปสำนักอู๋จี๋คราวนี้ ข้าบังเอิญได้รู้จากปากสาวใช้ว่ายาคืนชีพยังปรุงไม่สำเร็จ ดูเหมือนจะขาดไปอีกนิดเดียว”
“หากเป็นเพราะยาคืนชีพจริง เจียงสือจะเอามาใช้กับชุนเหนียงได้อย่างไร หรือว่าเอานางมาเป็นหนูทดลอง”
หลิงอวี้จื้อยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ตอนนี้เธอยืนยันได้เพียงอย่างเดียวว่าไม่ใช่นักรบไร้ชีพ เช่นนี้ใจถึงได้รับได้หน่อย มิเช่นนั้นเธอคงกระวนกระวายนั่งไม่ติด
“ชุนเหนียงจะเป็นหนูทดลองได้อย่างไร”
มู่หรงนี่อวิ๋นไม่เข้าใจความหมายของหลิงอวี้จื้อ ถามด้วยความอยากรู้
“หมายถึงวัตถุทดลองอย่างไรเล่า ใช่สิ คำว่าวัตถุทดลองเจ้าก็ไม่เข้าใจ เช่นนั้นอย่าถามดีแล้ว”
มั่วชิงลุกขึ้น หยิบผ้าไปเช็ดมือ
“คุณชายมู่หรง พันแผลเสร็จแล้ว ตอนค่ำนอนหลับพักผ่อนให้ดีๆ นะเจ้าคะ ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว”
“รบกวนเจ้าแล้วมั่วชิง”
“ข้าสมควรทำ คุณชายมู่หรงไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ”
“เอาละ มั่วชิง เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด!”
มั่วชิงรู้ว่าพวกเขามีเรื่องพูดต่อ พยักหน้าแล้วออกไปก่อน
“พี่สะใภ้ พวกเจ้ายังไม่ได้ทานข้าวเย็น ข้าไปห้องครัวทำอะไรให้พวกเจ้ากินสักหน่อย”
อวิ๋นซั่วพูดจบก็ออกไป ก่อนนี้เขากับมู่หรงนี่อวิ๋นลับฝีปากกันเป็นประจำ พอเห็นมู่หรงนี่อวิ๋นกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับตนเองอีก เขาจึงมีท่าทีสุภาพกับมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมากทีเดียว
“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
เพื่อให้หลิงอวี้จื้อสบายใจ มู่หรงนี่อวิ๋นจึงทำหน้าผ่อนคลาย ยิ้มพลางพูดว่า
“ข้าไม่เป็นอะไรเลย อวี้จื้อ นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็เป็นห่วงข้ามากเหมือนกัน”
“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของข้า เมื่อเจ้าลำบากข้าก็ไม่สามารถยืนนิ่งดูดายอยู่แล้ว อีกอย่างเจ้าได้รับบาดเจ็บก็เพราะข้า ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อไปเวลาข้าเผากระดาษเงินกระดาษทอง ก็จะไม่เผาให้เจ้า”
“เจ้าไม่ต้องเผากระดาษให้ข้าหรอก หากข้าตายจริงๆ ข้าจะมาตามหลอกหลอนเจ้าทุกวัน”
มู่หรงนี่อวิ๋นพูดล้อเล่น
“ถุยๆ พูดแต่เรื่องอัปมงคล ยังหนุ่มยังแน่น ตายเตยอะไร นี่อวิ๋น เจ้าต้องรับปากข้า เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร หายากนักที่ข้าจะมีเพื่อนรักร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน หากเจ้าไม่อยู่ข้างกายข้าแล้วจริงๆ ข้าก็คงจะเหงามาก”
แววตาหลิงอวี้จื้อเต็มไปด้วยความกังวล ครั้งนี้เธอไม่ได้ล้อเล่น น้ำเสียงจริงจังมาก
มู่หรงนี่อวิ๋นไม่นึกว่าหลิงอวี้จื้อจะพูดกับเขาเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสำคัญต่อใจของหลิงอวี้จื้อมากขนาดนี้ ในใจเขารู้สึกชอบมาก แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมาทางสีหน้า
“มีท่านอ๋องอยู่กับเจ้า เจ้าจะเหงาได้อย่างไร เขาต้องดูแลเจ้าแน่นอน”
“เจ้าไม่เหมือนกับอาเหยี่ยน อาเหยี่ยนเป็นคนที่ข้ารัก เจ้าเป็นคนที่ข้าสนิท สนิทยิ่งกว่าพี่ชายของข้าอีกนะ เรื่องที่ข้าคุยกับอาเหยี่ยนไม่ได้ ข้าก็คุยกับเจ้าได้หมด นี่อวิ๋น ข้าอยากบอกขอบคุณเจ้ามาตลอด ขอบคุณที่เจ้ากลายเป็นเหมือนพี่น้องคนสนิทของข้า ข้ารู้สึกโชคดีมาก”
ใจของมู่หรงนี่อวิ๋นทั้งโศกเศร้าทั้งอิ่มเอม เขาไม่มีวันได้เป็นคนที่หลิงอวี้จื้อรัก ตำแหน่งของเขาก็คงเป็นได้เท่านี้กระมัง
ตอนที่ 391 สิ่งที่ควรเห็น ข้าก็เห็นหมดแล้ว
ได้เป็นคนสนิทกับนางตลอดไปก็ดี เช่นนี้จึงสามารถอยู่เคียงข้างนางได้อย่างเปิดเผย
เดิมทีเขาอยากถือโอกาสนี้บอกความในใจกับหลิงอวี้จื้อ เขากลัวว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสพูดอีก
ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี้จื้อ เขาก็ตัดสินใจว่าให้คำพูดเหล่านั้นย่อยสลายอยู่ในใจ กลายเป็นความลับ เช่นนี้คงเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดของพวกเขาสองคน เขาไม่สามารถทำลายบทสรุปนี้ได้
“นั่นเพราะจื่อเฉิงทำหน้าที่พี่ชายไม่ดีพอ กลับไปแล้วข้าต้องต่อว่าเขาสักหน่อย บอกว่าน้องสาวเขายังดูถูกเขาเลย”
“เจ้ากล้ารึ”
หลิงอวี้จื้อถลึงตาใส่มู่หรงนี่อวิ๋น
มู่หรงนี่อวิ๋นหัวเราะเสียงดัง หัวเราะทีสะเทือนไปถึงแผล เขาจึงหัวเราะเบาลงทันที
“คำขู่ของเจ้าไม่มีผลต่อข้าหรอกอวี้จื้อ ข้าอยากนอนแล้ว เจ้ารีบไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องเถิด ไปดูหน่อยว่าเขาตื่นหรือยัง
ก่อนหน้านี้เจ้าหนูอวิ๋นซั่วเหม็นหน้าข้ามาตลอด เดี๋ยวเขามาแล้ว ข้าจะต้องฉวยโอกาสนี้จัดการเขาสักหน่อย เจ้าเป็นพี่สะใภ้เขา ข้ากลัวเจ้าจะสงสาร รีบไปเถิด”
“จัดการได้ตามสบาย ข้าสนิทกับเจ้ามากกว่าอีก ข้าจะไปสงสารเขาทำไม จำไว้ว่ามีอะไรเรียกข้านะ พรุ่งนี้ข้าจะมาดูเจ้าใหม่”
หลิงอวี้จื้อก็อยากไปดูเซียวเหยี่ยนอยู่เหมือนกัน เขานอนนานขนาดนี้ ควรจะตื่นแล้ว
มู่หรงนี่อวิ๋นพยักหน้า โบกมือเป็นสัญญาณให้หลิงอวี้จื้อรีบไป
หลิงอวี้จื้อไปแล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นถึงได้เงยหน้าขึ้นมาดูอย่างละเอียด บนฝ่ามือมีเส้นสีดำชัดเจนเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด
เมื่อครู่ตอนที่เขากำลังคุยกับหลิงอวี้จื้อ เขาเหลือบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าตนเองตาฝาด จึงรีบไล่หลิงอวี้จื้อออกไป เพื่อจะได้ดูให้ชัดๆ ว่ามือของตนเองเป็นอะไร
เดิมทีเขานึกว่าจะรอดพ้นทุกอย่างไปได้แล้ว ตอนนี้ดูท่าเขาคงไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เส้นดำที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันนี้ไม่ใช่ลางดีแน่
หลิงอวี้จื้อกลับห้อง เซียวเหยี่ยนยังไม่ตื่น เธอมอมแมมไปทั้งตัว บนตัวยังมีรอยเลือดไม่น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เซียวเหยี่ยนเป็นห่วง เธอจึงเตรียมจะเปลี่ยนชุดใหม่ก่อน เพิ่งจะได้ใส่เสื้อชั้นใน จู่ๆ เซียวเหยี่ยนก็ลืมตาขึ้นมา
“อวี้จื้อ เจ้าทำอะไร”
เสียงของเซียวเหยี่ยนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลิงอวี้จื้อตกใจจนมือสั่น เสื้อผ้าในมือหล่นพื้นหมด
“ท่านอย่าแอบดูข้านะ…ข้าขอใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน”
หลิงอวี้จื้อพูดจาค่อนข้างตะกุกตะกัก เซียวเหยี่ยนตื่นขึ้นมาตอนนี้กระอักกระอ่วนใจจริงๆ เธอสวมเสื้อชั้นในแล้ว แต่ยังผูกไม่เสร็จ
“ให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่”
เซียวเหยี่ยนพิงหัวเตียง ถามด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าทำเอง ท่านรีบหลับตาสิ อย่ามาแอบดู”
“สิ่งที่ควรเห็น ข้าก็เห็นหมดแล้ว”
หลิงอวี้จื้อไม่กล้าหันหน้าไป หันหลังให้เซียวเหยี่ยน
รู้สึกเหมือนข้างหลังมีแววตาที่เร่าร้อนแผดเผา หน้าเธอร้อนผ่าว ใจเต้นแรงเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเธอจะเคยนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับเซียวเหยี่ยน แต่ตอนนั้นเธอเมาเหล้า จำอะไรไม่ได้เลย
คราวนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน รู้เพียงแต่มือไม่ยอมฟังคำสั่ง ใจอยากจะรีบใส่เสื้อผ้าให้เสร็จให้เร็วที่สุด แต่มือดันไม่ยอมฟังคำสั่ง จะผูกเชือกอย่างไรก็ผูกไม่ได้สักที
หลิงอวี้จื้อเริ่มรำคาญแล้ว
“อาเหยี่ยน ท่านอย่ามองข้า รีบหลับตาเร็วเข้า”
“ข้าหลับตาอยู่ตลอด หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าหันมาดูได้”
ได้ยินคำนี้ หลิงอวี้จื้อก็ดูเหมือนจะหันไปตามสัญชาตญาณ พอหันไปแล้วก็เอามือตบหน้าผากหนึ่งที ทำไมตัวเองถึงเชื่อฟังแบบนี้ เซียวเหยี่ยนบอกให้เธอหันไป เธอก็ทำตามเงื่อนไขหันไปจริงๆ การกระทำเร็วกว่าใช้สมองคิด
เซียวเหยี่ยนเห็นหลิงอวี้จื้อทำหน้าแค้นใจ ก็หัวเราะเบาๆ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินมาตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ
หลิงอวี้จื้อกล้ามองหน้าเซียวเหยี่ยนเสียที่ไหน ก้มหน้าลง
“คงคิดว่าข้าโง่มากสิ ต่อหน้าท่านแม้แต่เสื้อผ้าชุดเดียวยังใส่ไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนปัญญาอ่อน”