ตอนที่ 632 นี่คือสิ่งที่เราอยากให้เจ้า
“หม่อมฉันมิบังอาจรับคำว่า ‘หยวน’ คำนี้หรอกเพคะ”
“เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่เราชอบ และเป็นสตรีที่เราอยากแต่งงานมาตลอด มีแค่เจ้าที่เหมาะกับคำคำนี้ สตรีอื่นในวังหลังล้วนเป็นคนที่เสด็จแม่คัดสรรมาทั้งสิ้น มีแต่เจ้าที่เราเลือกด้วยตนเอง”
เฉินม่อฉือเอ่ยอธิบายอย่างจริงจัง นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะให้หลิงอวี้จื้อได้ในตอนนี้ หากหลิงอวี้จื้อยินดีจะอยู่เคียงข้างเขา ตำแหน่งฮองเฮา เขาก็จะยกมันให้หลิงอวี้จื้อ
หลิงอวี้จื้อปวดหัวขึ้นมาทันที เธอเป็นหยวนเฟย ฮองเฮาคงรู้สึกไม่ดีแน่ คงแค้นเธอจนแทบตายเลยทีเดียว
ตั้งแต่เธอมาถึงแคว้นเว่ยตะวันตก เธอก็ไม่เคยมาร่วมวงแก่งแย่งอะไรในวังหลังของแค้วนนี้เลย คิดไม่ถึงว่าการกลับมาในครั้งนี้กลับทำให้เธอต้องกลายเป็นสนมของเฉินม่อฉือไปอย่างไม่น่าเชื่อ นี่มันเรื่องตลกชัดๆ
“ฝ่าบาทให้หม่อมฉันเป็นหยวนเฟยไม่กลัวจะทำร้ายพระทัยของฮองเฮาหรือเพคะ ฝ่าบาท เรากระทำสัญญาหนึ่งเดือนของเราให้เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้หรือเพคะ พระองค์ยกหม่อมฉันให้โดดเด่นขึ้นในวังหลังเช่นนี้ไม่กลัวหม่อมฉันจะเดือดร้อนหรือ”
“มีเราอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเจ้าแน่ ฮองเฮามีอุปนิสัยอ่อนโยน ไม่ใช่สตรีที่จะทำเรื่องอันไม่สมควรเช่นนั้นหรอก”
“โปรดอย่าทรงกริ้วที่หม่อมฉันขอพูดตามตรงว่า ยามนี้ผู้ที่กระทำการอันไม่สมควรคือฝ่าบาทต่างหากเล่าเพคะ”
เพราะใจเต็มไปด้วยความโกรธ หลิงอวี้จื้อจึงเอ่ยต่อว่าเฉินม่อฉือออกมาโดยไม่ได้ใคร่ครวญอะไรนัก
“เหตุใดเจ้าจึงไม่รักดีเอาเสียเลย อวี้จื้อ เราทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า เราอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้”
เฉินม่อฉือรู้สึกโมโหขึ้นมาแล้ว แต่หลิงอวี้จื้อกลับดูสงบลงแล้ว “ฝ่าบาท พระองค์ก็เห็นแล้วว่าการที่หม่อมฉันอยู่กับพระองค์ มักทำตัวให้พระองค์ทรงกริ้ว แล้วเหตุใดต้องฝืนเล่าเพคะ เมื่อเป็นถึงฮ่องเต้ก็ควรให้ผู้คนสรรเสริญเอาพระทัย เหตุใดต้องหาเรื่องให้ขุ่นมัวพระทัยเล่าเพคะ”
เฉินม่อฉือแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาใจเรา เราก็ชอบอยู่แล้ว เมื่อมีราชโองการลงมาแล้ว ตำแหน่งหยวนเฟยนี้แม้เจ้าไม่อยากรับก็คงต้องรับแล้ว อวี้จื้อ หากเจ้ายังโวยวายอยู่อีก เราคงต้องเข้าหอกับเจ้าแล้วล่ะ”
“ฝ่าบาท…” ครั้งนี้เป็นหลิงอวี้จื้อบ้างที่ต้องโมโห เธอไม่กล้าต่อต้านเฉินม่อฉืออย่างจริงจัง เพราะที่นี่เป็นที่ของเขา เมื่อครู่เธอโกรธเฉินม่อฉือจนแทบหมดสติ เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงเงียบไม่ปริปากพูดอะไรอีก
“เอาล่ะ อวี้จื้อ เจ้าอย่าโกรธไปเลยนะ”
เฉินม่อฉือเห็นหลิงอวี้จื้อทำหน้าขรึมจึงเอ่ยเสียงอ่อนลง ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอาใจสตรีสักคน “เราผิดเองที่ไม่ปรึกษาเจ้าก่อน เราเคยรับปากอะไรเจ้าไว้ย่อมต้องทำอย่างแน่นอน แต่หากเราจะทำอะไรให้ เจ้าก็จำเป็นต้องรับไว้เช่นกัน และนี่เป็นสิ่งที่เราอยากจะให้เจ้า”
แค่เพียงหลิงอวี้จื้อเฉยชาต่อเขา เฉินม่อฉือที่เดิมขี้โมโหและไร้ความอดทนกลับสามารถอดทนกับหลิงอวี้จื้อได้อย่างประหลาด
แม้หลายครั้งจะถูกหลิงอวี้จื้อทำให้โกรธจนไม่อาจเก็บงำได้ แต่เขากลับยอมกดข่มมันไว้ กระทั่งลืมที่จะเดินหนีไปด้วยซ้ำ ทั้งยังอยากทำดีต่อนางไปเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ประหลาดนัก ทำให้เขาไม่รู้จะอธิบายมันออกมาอย่างไร
เมื่อเห็นว่าหลิงอวี้จื้อไม่พูดจา เฉินม่อฉือจึงคิดจะกลับไปเสียก่อน จะทำอย่างไรหลิงอวี้จื้อถึงจะอารมณ์ดีขึ้นมาได้ ไม่นานเขาก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง ถ้าได้เห็นคนผู้นั้น หลิงอวี้จื้อจะต้องดีใจอย่างมากแน่
เวลานี้ภายในตำหนักเจาหยางอันเป็นที่ประทับของหลินฮองเฮา หลินฮองเฮากำลังกริ้วกระทั่งไม่เสวยแม้แต่พระกายาหาร เอาแต่นั่งอยู่หน้าคั่นฉ่องทองแดง สีหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาด นัยน์ตาดูไร้จิตวิญญาณ
นางเป็นสตรีที่เพียบพร้อมตามมาตรฐานทุกอย่าง มีความรู้ อุปนิสัยอ่อนโยนเข้ากับผู้คนได้ง่าย หน้าตางดงาม กริยาวาจาเรียบร้อยมีสง่าราศี เป็นสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างสมบูรณ์แบบโดยแท้
นางรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเมื่อเติบใหญ่จะได้เข้าวัง นี่คือฮองเฮาที่มู่หรงกวานเยว่เลือกไว้นานแล้วทั้งยังให้ตระกูลหลินอบรมเลี้ยงดูนางอย่างดี
หากว่ากันตามจริงแล้วตั้งแต่มู่หรงกวานเยว่เลือกนาง นางก็ไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลหลินอีกต่อไป ทุกอย่างที่นางต้องเรียนรู้ก็เพื่อการเป็นฮองเฮาที่สมบูรณ์แบบ
ตอนที่ 633 ฮองเฮาผู้เศร้าโศก
หลังจากเข้าวังมา นางก็ทำหน้าที่ของฮองเฮาอย่างเคร่งครัด คอยจัดการเรื่องในวังหลัง มีเมตตาต่อบ่าวไพร่ กตัญญูต่อมู่หรงกวานเยว่ จนทำให้ได้รับคำชมเชยจากคนทั้งหลาย นางแทบไม่มีคำครหาใดๆ เลย
แต่เฉินม่อฉือก็ยังเฉยเมยต่อนาง ไม่อาจพูดว่าเขาไม่ดีต่อนาง ของพระราชทานที่ควรได้ก็มอบให้นางไม่น้อย คนทั้งสองเคารพให้เกียรติกันดุจทหาร เฉินม่อฉือจะมาหานางตามเวลาที่กำหนด แต่นางมักรู้สึกว่ามันขาดความรักไป แม้แต่จูบนางสักครั้งเฉินม่อฉือก็ไม่เคยทำ คล้ายว่าการอยู่เป็นเพื่อนนางคือการบรรลุหน้าที่ของตนเองแล้ว
แม้นางจะรู้สึกรับไม่ได้แต่เมื่อเห็นว่าเฉินม่อฉือก็ปฏิบัติกับสนมคนอื่นๆ เช่นเดียวกันจึงพอทำใจได้บ้าง ด้วยคิดว่าเฉินม่อฉือคงไม่ชมชอบเรื่องอิสตรีเท่าใดนัก
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ในวังก็มีสตรีที่ประวัติคลุมเครือผู้หนึ่งปรากกฎขึ้น เฉินม่อฉือถึงกับให้นางเป็นหยวนเฟย ทั้งยังพระราชทานสิ่งของมากมาย จนแทบจะยกเอาวังหลังทั้งหมดให้สตรีผู้ไร้หัวนอนปลายเท้านั่น
ความหมายของคำว่า ‘หยวน’ ทุกคนต่างรู้กันดี เขาแต่งตั้งสตรีไร้หัวนอนปลายเท้าเป็นหยวนเฟย เช่นนั้นนางผู้เป็นฮองเฮาคือสิ่งใดกันเล่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินฮองเฮาก็เสียใจยิ่ง นางไม่เข้าใจว่าตนเองทำสิ่งใดผิดพลาดไป
“ฮองเฮา อย่าได้ทรงเสียใจไปเลย ฝ่าบาทอาจแค่ลุ่มหลงสตรีผู้นั้นไปชั่วขณะ รออีกสักระยะก็คงไม่มีอะไรแล้วเพคะ”
เมื่อเห็นหลินฮองเฮาเสียใจเช่นนี้ ไฮ่ถังนางกำนัลคนสนิทของนางจึงเอ่ยปลอบ
“ข้ากับฝ่าบาทแต่งงานกันมาสองปีแล้ว ไหนเลยจะเคยเห็นพระองค์ปฏิบัติกับสตรีสักเช่นนี้” น้ำเสียงของหลินฮองเฮาเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ “พระทัยและพระเนตรของพระองค์ไม่มีข้าผู้เป็นฮองเฮาผู้นี้อยู่เลย มิเช่นนั้นคงไม่ยกตำแหน่งหยวนเฟยให้สตรีนางนั้นหรอก”
“ไม่ว่าอย่างไร ฮองเฮาก็เป็นฮองเฮา ต่อให้หยวนเฟยเป็นที่โปรดปรานเพียงใดก็เป็นได้เพียงสนมเท่านั้น”
“ไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะทรงคิดยกตำแหน่งฮองเฮาให้นางด้วยก็ได้” หลินฮองเฮาหัวเราะเสียงขื่น
“ฮองเฮา จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ ไท่เฮาคงไม่ยอมให้ฝ่าบาททำเรื่องเช่นนั้นแน่”
ไห่ถังรีบเอ่ยปากทันที คุณหนูของพวกนางแม้จะเป็นฮองเฮาแล้วแต่จิตใจแสนดี เป็นสตรีที่มีเมตตายิ่งผู้หนึ่ง
พระชายาสนมในวังหลังนั้นมีไม่มาก เฉินม่อฉือเองไม่ได้โปรดปรานสนมคนใดเป็นพิเศษ ทั้งไท่เฮาก็ยังอยู่ ด้วยเหตุนี้ฮองเฮาและบรรดาสนมจึงไม่มีการแก่งแย่งความโปรดปรานกัน นับว่าปรองดองกันมากเชียวล่ะ
หลินฮองเฮาเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทก็ทรงทราบดีว่าข้าถูกลิขิตให้อยู่เคียงข้างพระองค์ไปชั่วชีวิต เหตุใดจึงไม่ลองรักข้าดูสักครั้ง หรือข้าไม่คู่ควรกับความรักของพระองค์”
“ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วทุกคนต่างบอกข้าว่าฝ่าบาทจะเป็นสามีของข้า แม้ไม่เคยพบหน้ากันเลย แต่ข้าก็ลองเอาพระองค์เข้ามาไว้ในหัวใจ คอยคิดถึงวันเวลาที่จะได้อยู่เป็นคู่รักที่รักกันกับฝ่าบาทมาตลอด ไห่ถัง ข้าทำอะไรผิดไปงั้นหรือ”
“ฮองเฮาจะผิดได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทเพียงแค่ลุ่มหลงในสตรีปีศาจนั่นไปชั่วขณะเท่านั้น ฮองเฮาทรงพระทัยเย็นก่อนเถิดเพคะ”
ไฮ่ถังยืนอยู่ด้านหลังหลินฮองเฮาและคอยพูดปลอบประโลมต่อไป นางรู้ว่าหลินฮองเฮาชมชอบฝ่าบาทด้วยใจจริง แต่น่าเสียดายที่ฝ่าบาทกลับเฉยชาต่อฮองเฮายิ่ง
“ตำหนักฉังเล่อมีคนคอยเฝ้าไว้ตลอด คิดว่าฝ่าบาทกับไท่เฮาคงมีเรื่องอันใดกันแน่ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับหยวนเฟยด้วยเพคะ”
หลินฮองเฮามีสีหน้าเป็นกังวล
“คนผู้นี้หากอยู่ในวังคงเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวงแน่เพคะ” ไฮ่ถังเพิ่งพูดได้ไม่นานก็มีคนเข้ามารายงานว่าเฉินปี้มาหา หลินฮองเฮารีบเก็บอารมณ์และสีหน้าตนแล้วให้คนเชิญเฉินปี้เข้ามา
เพียงเดินเข้ามาในห้อง เฉินปี้ก็รับรู้ได้ทันทีว่าสีหน้าของหลินฮองเฮาดูแปลกไป นางย่อมรู้ว่าเหตุใดหลินฮองเฮาจึงมีท่าทีเสียใจเช่นนี้ ที่นางมาก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ
“ใต้เท้าเฉิน ลุกขึ้นเถิด มีเรื่องใดจึงมาพบข้าหรือ”
ยามนี้เฉินปี้เป็นขุนนางหญิงในวัง ดูแลฝ่ายภูษา นางได้รับการยอมรับจากไทเฮายิ่ง หลินฮองเฮาเองก็ชื่นชมในความสามารถของนาง ปกติจึงมักพบปะพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้ง