บทที่ 387 ฉันวางความกังวลไม่ลง
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเจียงสื้อสื้อ จื่อเฟิงก็ยิ่งรู้สึกโกรธสุดๆ มาถึงตอนนี้เธอก็ยังมองไม่ออกว่าจิ้นเฟิงเฉินชอบผู้หญิงคนนี้ตรงไหน
เพราะนิสัยเอาแต่ใจของเธอเช่นนี้จึงทำให้คนอื่นทนไม่ไหว
ไม่ง่ายที่จะมองจนเจียงสื้อสื้อเข้าบ้านไป จื่อเฟิงรู้สึกว่าหน้าที่ที่จิ้นเฟิงเฉินมอบหมายให้ทำได้เสร็จสิ้นแล้วก็ออกไปทันที
เธอไม่ชอบอยู่กับเจียงสื้อสื้อ ถ้าหากไม่ใช่คำสั่งของจิ้นเฟิงเฉินโดยเฉพาะ เธอไม่มีทางเข้าใกล้ผู้หญิงคนนี้แม้แต่ก้าวเดียว
ครั้งนี้จิ้นเฟิงเฉินแค่กำชับให้เธอพาเจียงสื้อสื้อกลับบ้านเท่านั้น ตอนนี้หน้าที่นั้นเสร็จสิ้นแล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่อยู่ต่อ
ยิ่งไปกว่านั้นเธออดเป็นห่วงจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้จริงๆ
ทางฝั่งเจียงสื้อสื้อที่พอถึงบ้าน เสี่ยวเป่าก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ “หม่ามี๊ หม่ามี๊กลับมาแล้ว ผมคิดถึงหม่ามี๊มากๆเลย”
เจียงสื้อสื้อกอดเขากลับแล้วพาเขาเข้าบ้านแล้วถามเบาๆว่า “แดดดี๊หม่ามี๊ไม่อยู่บ้านแล้ววันนี้ผมดื้อมั้ยครับ?”
เสี่ยวเป่ารีบตอบกลับไปว่า “หม่ามี๊วางใจได้ครับ วันนี้ผมเป็นเด็กดีครับ”
ท่าทางจริงจังของเขาทำเอาเจียงสื้อสื้อรู้สึกขบขัน เธออดลูบหัวเขาไม่ได้
แต่ใครจะคิดว่าเขาทำท่าจริงจังไปวิเดียวก็ทำตัวอ้อนอีก แล้วพูดด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นว่า “หม่ามี๊ วันนี้หม่ามี๊ไปเจอแดดดี๊แล้วพูดอะไรกันครับ?”
พอนึกถึงฉากเมื่อเช้า เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกเขินขึ้นมา แต่เพราะอยู่ต่อหน้าลูกชายเธอ เธอจึงเก็บรอยยิ้มแล้วแสร้งพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แดดดี๊บอกว่าเป็นเพราะผมอยู่บ้านแล้วดื้อแน่ๆ หม่ามี๊เอาไม่อยู่ถึงได้ไปหาแดดดี๊”
เสี่ยวเป่าถูกหยอกจนขำกลิ้งแล้วพูดต่อว่า “หม่ามี๊นิสัยไม่ดี จริงๆเป็นเพราะหม่ามี๊คิดถึงแดดดี๊ต่างหาก”
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังพูดกันก็เห็นสาวใช้เดินเข้ามาบอกว่า “คุณผู้หญิง คุณชายน้อยคะ อาหารพร้อมแล้วค่ะสามารถทานได้เลย”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าแล้วพาเสี่ยวเป่าไปกินข้าว
ไม่รู้ทำไมความรู้สึกที่เธอไม่สบายใจเมื่อตอนเช้ามันทะลักกลับมาอีกครั้งตอนนี้ เธออยากจะถามจิ้นเฟิงเฉินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอก็รู้ดีว่าหากถามไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยวาง
แต่การที่ไม่ถามไม่ได้หมายความว่าเธอไม่เป็นห่วง กลับกันเธอกลับห่วงสุดๆ
คืนนั้นรอบๆบ้านของจิ้นเฟิงเหราอันตรายไปทุกหนแห่ง
ทั้งสี่ด้านเงียบไร้เสียง มีเพียงแค่เสียงนกร้องเท่านั้น เสียงเหล่านี้บ่งบอกว่าในบ้านทั้งหลังนั้นว่างเปล่าราวกับกำลังประกาศว่าพายุฝนกระหน่ำกำลังมา
จิ้นเฟิงเหรานั่งมองข้อมูลในจอคอมรวมถึงกล้องวงจรปิดอีกฝั่งในห้องหนังสือ ใจของเขารู้สึกอึดอัด
เขารู้ว่ากำหนดของวันนี้คงไม่ราบรื่นมากนัก แต่ยิ่งถึงเวลานั้นเขาก็ยิ่งตึงเครียด ยังไงซะครั้งนี้ใครก็แพ้ไม่ได้ เขาจึงได้แต่บังคับตัวเองให้รอคอยอย่างจริงจัง
ท้องฟ้ายิ่งมืดลงเรื่อยๆ สถานการณ์ที่เดิมทีสงบดีตอนนี้กลับผันแปร กล้องวงจรปิดจับเงามืดเงาหนึ่งได้
เส้นประสาทของจิ้นเฟิงเหราหดตัวแน่น เขามองจอคอมแล้วจมอยู่กับความคิด
พวกมันลงมือแล้วจริงๆแถมยังทำแบบทนไม่ไหวด้วย
พอเห็นทหารรับจ้างชายแอบเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็เดินอย่างระมัดระวังพยายามที่จะไม่ส่งเสียงใดๆออกไป
ผ่านไปสักพักข้างในบ้านก็ไม่เงียบแล้ว ยังไม่ถึง 10 นาทีก็มีเสียงปืนจากที่ไหนไม่รู้ดังขึ้น
ใจของจิ้นเฟิงเฉินที่ซุ่มอยู่ก็ตกไปถึงตาตุ่ม
สุดท้ายเขาก็มา ไม่ใช่แค่นั้น เขายังพามือดีมาด้วยแล้วดักซุ่มบริเวณรอบๆนี้ แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ทหารรับจ้างนั่นจะพกปืนมาด้วย ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะมีท่าทีควบคุมไม่ได้แล้ว
หลังจากทหารรับจ้างคนนั้นเปิดปืนเงียบไม่มีเสียงอะไรอีก
แต่เพราะเป็นแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินถึงรู้สึกกังวลกว่าเดิม ถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นมาจริง เขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ สถานการณ์แบบนี้ทำให้รู้สึกเป็นห่วงที่สุด
จิ้นเฟิงเฉินเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เขาอยากจะพุ่งออกไป แต่คนข้างๆรีบดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “คุณชายครับ อีกฝ่ายไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ถ้าพุ่งออกไปตอนนี้ไม่เหมาะนะครับ”
พอพูดจบ ในบ้านก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง จิ้นเฟิงเฉินทนอีกไม่ไหวอีกต่อไปจึงพุ่งออกไปทันที
หลังจากมีเสียงฝีเท้าเขาพุ่งออกไปดังขึ้น ก็มีเสียงฝีเท้าอื่นตามมา
ฝีเท้าเหล่านี้มีระเบียบแบบแผนซึ่งเสียงฝีเท้าครั้งนี้เป็นของตำรวจ เดิมทีจิ้นเฟิงเฉินกลัวว่าจะคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ยังไงซะมันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของจิ้นเฟิงเหรา ดังนั้นเขาจึงเรียกตำรวจมาโดยเฉพาะ
ตำรวจเหล่านั้นซ่อนอยู่ทั้งสี่ด้าน พอได้ยินเสียงจิ้นเฟิงเฉินพุ่งออกไป เสียงฝีเท้ากับเสียงปืนก็ดังขึ้นพร้อมกันเพราะนึกว่าเกิดเรื่องแล้วจึงรีบพุ่งออกไป
ในบ้านวุ่นวายไปชั่วขณะ หลายฝ่ายวุ่นวายเข้าหากันอย่างมีทิศทางที่แน่นอน ในบ้านเหมือนกับสนามต่อสู้ของอสุรา พร้อมจะเกิดเรื่องได้ตลอดเวลา
ใจจิ้นเฟิงเฉินเป็นกังวลจึงพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือของจิ้นเฟิงเหรา เมื่อเข้ามาเขาก็เห็นจิ้นเฟิงเหรานั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีบาดแผลหรือความเสียหายใดๆถึงคลายความกังวลลง
จิ้นเฟิงเหราที่เส้นประสาทหดแน่นมองเขาแล้วอึ้งไปชั่วขณะ “พี่ ทำไมจู่ๆถึงมาล่ะ?”
จิ้นเฟิงเฉินพูดแต่เรื่องที่สำคัญ “มีคนแอบเข้ามาแถมยังพกปืนมาด้วย ที่นี่อันตรายเกินไป ฉันวางความกังวลไม่ลง
เมื่อได้ยินว่าจิ้นเฟิงเฉินเป็นห่วงตัวเองขนาดนี้ จิ้นเฟิงเหราก็ตื้นตัน จากนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้จึงถามอย่างสงสัยว่า “จริงสิ คนกลุ่มเมื่อกี้ที่บุกเข้ามาเป็นใคร?”
“ตำรวจ” จิ้นเฟิงเฉินตอบอย่างกระชับ
ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของจิ้นเฟิงเฉินก็สว่างขึ้นเพราะป๋ายหลี่ส่งข้อความมา
“คุณชายคะ จับคนนั้นได้แล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ห้องนั่งเล่นค่ะ”
สองพี่น้องสบตากันแล้วตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
ขณะนั้นเองไฟของห้องนั่งเล่นได้เปิดหมดแล้ว ตำรวจกลุ่มหนึ่งกับคนของป๋ายหลี่กำลังล้อมคนคนหนึ่งอยู่
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านั่นคือทหารรับจ้าง
ป๋ายหลี่มองเห็นคนที่เพิ่งปรากฏตัวสองคนแล้วก็เบาใจ จากนั้นก็พูดว่า “คุณชาย คุณชายรองครับ ไม่เป็นอะไรกันใช่มั้ยครับ เราจับได้แล้วครับ เชิญดูครับ”
พูดจบก็พาทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างใน ก็เห็นคนของป๋ายหลี่มัดตัวทหารรับจ้างที่ถูกจับไว้ เพราะกลัวเขาจะหนีไปได้
เมื่อเห็นว่าในที่สุดทหารรับจ้างถูกจับได้แล้วก็เบาใจ
แต่ทหารรับจ้างชายไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิดแต่กลับหัวเราะขึ้นมา
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วเหมือนจับความผิดปกติได้แล้วหันไปพูดกับป๋ายหลี่ที่อยู่ข้างหูว่า “ไม่สิ ยังมีผู้หญิงอีกคนนี่”
ตอนที่พวกเธอสืบนั้นพบว่าทหารรับจ้างสองคนนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่ง แล้วทำไมตอนนี้จับได้คนเดียว
ป๋ายหลี่สะอึกในใจ เกรงว่าเรื่องนี้จะแก้ไขยากซะแล้ว
พวกตำรวจรีบเอาปืนจ่อหัวทหารรับจ้างชายแล้วเค้นถาม “พูดมา อีกคนอยู่ไหน!”
ทหารรับจ้างชายหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “เดี๋ยวพวกแกก็รู้แล้ว”