บทที่ 392 ฉันต้องการให้คุณมีชีวิตอยู่
ยิ่งเวลายืดเยื้อไปนานมากเท่าไหร่ จิ้นเฟิงเหราก็ยิ่งรู้สึกเบลอมากขึ้นเท่านั้น เขาเองก็รู้ว่าตนเองไม่ควรจะไปหลับไปแบบนี้ แต่เขาอยากหลับตาลงจริงๆ
อีกด้าน หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินพรวดพราดเข้ามา ตามหาอยู่นานก็ยังไม่พบจิ้นเฟิงเหราและส้งหวั่นชีง หลังจากเดินไปได้ครึ่งทางไฟลุกลามอย่างรวดเร็วแทบไม่สามารถขยับได้เลย
ตอนที่เขากำลังคิดจะพุ่งเข้าไปอีกครั้งหนึ่งนั้น ตำรวจข้างๆก็เข้าไปขัดขวางเขาไว้ เกลี้ยกล่อมว่า“ประธานจิ้น ตอนนี้เพลิงโหมหนักมาก ให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงด้านอกเข้าไปดับไฟก่อนเถอะครับแล้วค่อยเข้าไปหาคน ไม่อย่างนั้นมันอันตรายเกินไปจริงๆ”
จิ้นเฟิงเฉินเห็นว่าเพลิงที่ลุกไหม้ด้านในรุนแรงมาก ก็ยอมเชื่อฟังยอมถอยออกมา
ชุดป้องกันที่เขาสวมอยู่นั้นถูกไฟไหม้จนผิวหน้าหายไปบ้างแล้ว ประกายไฟบางส่วนเข้ามาในเสื้อผ้าของเขา
ตอนที่จิ้นเฟิงเฉินถอดชุดที่สวมอยู่ออกนั้น เห็นว่าเสื้อเชิ้ตที่เขาสวมอยู่ด้านในถูกไฟไหม้แล้ว แนบติดอยู่กับตัวเขาเป็นรอยจุดไหม้แดงๆ
แม้ว่าจะมีความเจ็บปวดออกมาจากเรือนร่าง แต่สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ยังคงเคร่งเครียด ยกน้ำถังหนึ่งราดลงจากบนศีรษะลงมาให้เปียก จนแน่ใจว่าร่างกายทั้งตัวของตนเองนั้นเปียกชุ่ม
จากนั้นก็ขอชุดผจญเพลิง สวมหน้ากากป้องกันควัน จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ตอนที่เขากำลังจะเข้าไปในเหตุเพลิงไหม้นั้นเอง ก็มีมือหนึ่งจับแขนของเขาไว้
จิ้นเฟิงเฉินหันกลับไปด้วยความสงสัย เห็นจื่อเฟิงที่สวมชุดผจญเพลิงยืนอยู่ข้างๆเขา
หลังจากที่เห็นจื่อเฟิง จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้ว ไม่ใช่ให้เธอไปคอยปกป้องเจียงสื้อสื้อเหรอ ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้
มองท่าทางสงสัยของจิ้นเฟิงเฉินออกจื่อเฟิงจึงพูดว่า“คุณชาย การปฏิบัติการครั้งนี้อันตรายเกินไปมากจริงๆ ดังนั้นฉันจึงไม่วางใจตามมาด้วย ฉันยังนำลูกทีมมาด้วย เตรียมจะเข้าไปช่วยคน”
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินก็พยักหน้า กำชับว่า “ให้พวกเขารักษาตัวให้ปลอดภัยด้วย”
พูดจบก็สวมหน้ากากที่อยู่บนหัวให้เรียบร้อย เตรียมเข้าไป
จื่อเฟิงเห็นอย่างนั้นก็เตรียมจะตามเข้าไป แต่กลับถูกจิ้นเฟิงเฉินขวางเอาไว้ “คุณรอฟังข่าวอยู่ด้านนอกเถอะ ด้านในมีคนเข้าไปเยอะจะยิ่งอันตราย”
เห็นจิ้นเฟิงเฉินสั่งอย่างนั้น จื่อเฟิงก็ได้แต่รอฟังคำสั่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง
แต่ในใจกลับรู้สึกอิ่มเอม เมื่อครู่นั้นเขากำลังเป็นห่วงตนเองใช่มั้ย
เห็นไฟที่ยิ่งลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ใจของจื่อเฟิงก็หวั่นวิตกขึ้นมา
ดีที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านความมานะพยายามในที่สุดไฟก็มอดดับลง แต่ปัญหายุ่งยากใหม่ก็เกิดขึ้น แม้ตอนนี้จะไม่มีไฟไหม้แล้ว แต่ว่าควันกลับยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
การตามหาคนท่ามกลางควันที่หนา เป็นการเพิ่มความยากลำบากในงานค้นหากู้ชีพอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ควันก็ยิ่งหนาขึ้นเท่านั้น ใจของจิ้นเฟิงเฉินก็ยิ่งหวาดกลัว
ทีมค้นหาและกู้ภัยกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างแยกกันปฏิบัติงาน ร้องเรียกชื่อของจิ้นเฟิงเหราและส้งหวั่นชีงไม่หยุด
แต่สถานการณ์ของสองคนที่ในห้องใต้ดินนั้นกลับไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าด้านนอกนั้นมีคนกำลังตามหาพวกเขาอยู่ เกือบจะถึงจุดที่ถอดใจอยู่แล้ว
เวลานั้นเองควันหนาปกคลุมอยู่ทั่วห้องใต้ดิน ร่างของจิ้นเฟิงเหราที่เดิมนั้นมีบาดแผลอยู่แล้ว บวกกับการสูดเอาควันเข้าไปไม่หยุด สติเริ่มจะหลุดลอยออกไป แม้แต่ส้งหวั่นชีงเองก็เริ่มหมดแรงแล้วเช่นกัน
เมื่อครู่ยังพอพูดคุยกับส้งหวั่นชีงได้สองสามประโยค มาถึงตอนนี้ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรแล้ว
ส้งหวั่นชีงกลัวมาก เธอแนบชิดอยู่ข้างหูของเขา พูดกับเขาไม่หยุด หวังว่าจะให้เขารักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้
“จิ้นเฟิงเหราคุณจะหลับไม่ได้นะ ขอแค่คุณยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะแลกให้คุณตลอดชีวิต ทำอะไรก็ได้”
“ฉันขอแค่คุณอย่าจากฉันไป ขอร้องคุณละ ชั่วชีวิตนี้ของฉันก็เพิ่งได้เจอคนดีอย่างคุณนี้แค่คนเดียว ถ้าคุณจากไปแล้ว ใครจะคอยปกป้องฉันล่ะ”
“ฉันรู้ว่าฉันมันแย่ หน้าตาก็ไม่โดดเด่น การเรียนก็ธรรมดา ไม่คู่ควรกับคุณ แต่ว่าฉันรู้สึกดีกับคุณจริงๆนะ……”
“จิ้นเฟิงเหรา ฉันขอแค่ให้คุณมีชีวิตอยู่”
……
ก็ไม่รู้ว่าเธอพูดกับจิ้นเฟิงเหรา หรือบอกความในใจของตนเองกันแน่ ในเมื่อตอนนี้เธอมีความหวังเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่
จิ้นเฟิงเหราในเวลานี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากโลกภายนอกอีกแล้ว แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คนข้างกายคอยพร่ำบอกอยู่ไม่หยุด
เขาอยากจะลูบคลำใบหน้าของส้งหวั่นชีง อยากเห็นหน้าตาของเธอ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย
ว่ากันว่าคนเราก่อนตายมักจะระลึกถึงความทรงจำที่สวยงาม ในหัวของจิ้นเฟิงเหราก็มีภาพเหตุการณ์ทุกเรื่องที่ทำร่วมกันของเขากับส้งหวั่นชีงผุดขึ้นมาไม่หยุด
ความโกรธของเธอ ความน่ารักของเธอ ความอ่อนแอของเธอ……
สิ่งเหล่านี้เขาล้วนจดจำไว้ในใจ แต่ตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
เห็นเขาค่อยๆหลับตาลง หัวใจของส้งหวั่นชีงเองก็หล่นวูบลงไป
หรือว่าพวกเขาจะต้องถูกขังให้ตายอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ
ก้มหน้ามองใบหน้าของจิ้นเฟิงเหรา ส้งหวั่นชีงยิ้มออกมา ต่อให้ต้องตายอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย อย่างน้อยก็มีเธอคอยอยู่เป็นเพื่อนเขา เดินไปในช่วงวาระสุดท้ายนี้
ตอนที่เธอหมดความหวังที่จะมีชีวิตรอดนั้นเอง ก็เหมือนได้ยินเสียงว่ามีคนกำลังร้องเรียกชื่อเธออยู่ข้างหู
ตอนแรกเธอคิดว่าเธอหูแว่ว แต่ว่าเสียงยิ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆส้งหวั่นชีงไม่คิดอะไรแล้ว รีบตะโกนร้องออกไปว่า “ฉันอยู่ที่นี่!!”
จิ้นเฟิงเฉินก็อยู่บริเวณนั้น ตอนที่เขาได้ยินเสียงดังออกมาจากใต้พื้นดินนั้น ก็รีบพาคนมาขุดกระเบื้องตรงนั้นออก
ส้งหวั่นชีงได้ยินเสียงด้านบน น้ำตาที่หางตาก็ร่วงหล่นออกมา ในที่สุดสวรรค์ก็ทนไม่ได้ที่จะให้พวกเขาต้องจากโลกนี้ไปเช่นนี้ ดีที่สวรรค์ยังโปรดพวกเขาอยู่
ไม่นานพื้นก็ถูกเปิดออก จิ้นเฟิงเฉินมองเห็นสองคนที่อยู่ใต้ดิน
สภาพของทั้งสองคนนั้นไม่อาจใช้คำว่ายากลำบากมาอธิบายได้ แต่มันช่างน่าสลดหดหู่ยิ่งนัก
เสื้อผ้าบนร่างของส้งหวั่นชีงนั้นขาดวิ่นแทบไม่เหลือชิ้นดี เสื้อผ้าบนตัวจิ้นเฟิงเหราถูกเลือดย้อมจนเป็นสีแดงหมด
จิ้นเฟิงเฉิงรีบตะโกนถามด้านในว่า “ตอนนี้ยังพูดได้มั้ย”
ได้ยินเสียงจิ้นเฟิงเฉิน ส้งหวั่นชีงก็รีบผลักร่างของจิ้นเฟิงเหราที่อยู่ในอ้อมกอดออกไป ตะโกนว่า“ เร็วเข้า รีบมาช่วยเขา เขาหมดสติไปแล้ว บนตัวเขามีบาดแผล ต้องฆ่าเชื้อเดี๋ยวนี้”
ในน้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง จิ้นเฟิงเฉินปลอบว่า “ไม่ต้องห่วง เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
ไม่นานจิ้นเฟิงเหราก็ถูกยกขึ้นมาด้านบน ด้านนอกมีรถพยาบาลมาคอยรออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของจิ้นเฟิงเหรา ก็ไม่รีรอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่จิ้นเฟิงเหราออกไปแล้ว สังหวั่นชีงก็ถูกช่วยขึ้นมา ใบหน้าของเธอมีคราบเลือดที่ผสมกับคราบเขม่าฝุ่นควัน ดูแล้วสกปรกเลอะเทอะ
หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินส่งจิ้นเฟิงเหราขึ้นรถพยาบาลแล้ว ก็เดินกลับมา ถอดเสื้อคลุมบนร่างของส้งหวั่นชีง
“ขอบคุณค่ะ” ส้งหวั่นชีงตอบอย่างมีมารยาท
พูดจบส้งหวั่นชีงก็ทนไม่ไหวเริ่มไอออกมา จิ้นเฟิงเฉินที่อยู่ข้างๆยื่นน้ำให้เธอขวดหนึ่งพร้อมกับกระดาษทิชชู่หนึ่งห่อ
ส้งหวั่นชีงบ้วนเสมหะในคอออกมา เป็นสีดำๆ ช่างน่าสงสัยนักว่าเธอสูดเอาฝุ่นควันไปมากมายขนาดไหนแล้ว
อาศัยแอ่งน้ำที่นักดับเพลิงเหลือเอาไว้ ส้งหวันชีงจึงมองเห็นตนเองว่าสภาพยับเยินมากเพียงใด