บทที่ 425 หรือว่าจะหึง?
ในเวลาเดียวกันนี้ จิ้นเฟิงเหรากำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล ถือโทรศัพท์หมุนเล่นไปมาอย่างเบื่อหน่าย
ทุกวันนี้เขานอนอยู่แบบนี้มาตลอด ขาเจ็บมากจนเดินไปไหนไม่ได้เลย ได้แต่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องทั้งวัน
ดังนั้นเกมทั้งหมดที่เขาสามารถเล่นได้ เขาก็เล่นจนหมดแล้ว ส่วนมากจะไต่ไปถึงตำแหน่งเทพของเซอร์เวอร์ด้วยซ้ำ อันที่จริงเขาไม่ได้สนุกกับการเล่นเลย วันนี้ก็แทบจะนั่งเหม่อลอยทั้งวัน
คุณหมอเคาะประตู เดินมาเปลี่ยนยาให้เขา เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่หมอ ถามด้วยความสงสัยว่า “ส้งหวั่นชีงล่ะครับ”
หมอจ้องไปที่ยาในมือของตัวเอง ไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เธอน่าจะเลิกงานแล้ว อีกอย่างตอนนี้ผมต้องตรวจดูแผลคุณหน่อย ดูว่าจะต้องใส่ยาหรือไม่”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ เพราะอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่หายดี ย่อมต้องเชื่อฟังที่หมอพูดทุกอย่าง
รอยไหม้ที่หลังของเขา เมื่ออยู่ภายใต้การรักษาด้วยยานำเข้าราคาแพงก็เริ่มดีขึ้นแล้ว
ระยะนี้ จิ้นเฟิงเฉินมักสั่งยานำเข้าจากต่างประเทศเสมอ และส่งมาที่นี่โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงหรือความจำเป็นใดๆ ดังนั้นบาดแผลของจิ้นเฟิงเหราจึงหายดีอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็เกือบจะหายสนิทแล้ว
หมอตรวจดูแล้วบอกว่า “แผลที่ด้านหลังเพิ่งจะมาฉีกทีหลังสินะ”
จินเฟิงเหราพยักหน้าอย่างสำนึกผิดอยู่บ้าง พลางเกาศีรษะ “ถือเป็นเรื่องที่สมควรทำครับ ช่วยเหลือคนในครอบครัวของตัวเอง”
ท่าทางมองโลกในแง่ดีของเขาทำให้หมอประทับใจ น้ำเสียงของหมอจึงอ่อนโยนขึ้นมาก “ดูเหมือนว่าแผลฉีกเพราะออกแรงมากเกินไปหน่อย
โชคดีที่อาการไม่สาหัสมาก บางทีกินยาอีกสักพักก็น่าจะหายแล้ว ส่วนที่ขา ผมจะเปลี่ยนยาตัวใหม่ให้ เริ่มพรุ่งนี้เลยแล้วกัน”
หมอพูดพลางก็จดบันทึกไปพลาง ผ่านไปไม่นาน ก็เขียนยุกยิกเต็มหน้าสมุดชาร์ทคนไข้
ในเวลานี้ ส้งหวั่นชีงเดินเข้ามาอย่างกระวนกระวาย มองไปที่จิ้นเฟิงเหรา จากนั้นก็มองไปที่หมอด้วยท่าทางจริงจัง กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียดว่า “คณบดี เขาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
คณบดี มองท่าทางเคร่งเครียดของเขา แล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ “ไม่เป็นไร ผมแค่เข้ามาตรวจห้อง ดูอาการของเขา”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ส้งหวั่นชีงก็โล่งใจได้ในที่สุด กล่าวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “ฉันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว”
พอพูดคำนี้จบ ส้งหวั่นชีงนึกอยากจะควักหัวใจตัวเองออกมาให้ตายๆ ไปเสีย ตอนแรกไม่มีเรื่องอะไร แต่พอพูดแบบนี้ กลับกลายเป็นการเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองอย่างหมดเปลือกแทน
คณบดี ได้ยินกลับส่ายหน้า กล่าวสรุปว่า “เอาล่ะ คุณไปเอายามาเปลี่ยนให้เขาเถอะ ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาเปลี่ยนแล้ว พรุ่งนี้ผมจะจ่ายยาตัวใหม่ให้เขา ถึงเวลาจะใช้คุณก็ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดก็แล้วกัน”
เมื่อ คณบดี กล่าวเช่นนี้ ส้งหวั่นชีงจึงพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ขอบคุณ คณบดี นะคะ”
หลังจาก คณบดี จากไป จิ้นเฟิงเหราก็โค้งริมฝีปากขึ้นยิ้ม กล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ผมยังคิดว่าเขาเป็นใครกัน มาตรวจดูแผลให้ผมด้วยสีหน้าจริงจัง ผมยังคิดว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว”
ส้งหวั่นชีงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “คุณชายรองจิ้น ใช่ว่าทุกคนจะเอาคุณเป็นศูนย์กลางนะคะ หมอธรรมดาทั่วไปที่เชื่อฟังคำสั่งคุณ เป็นเพราะคุณสามารถทำให้พวกเขาตกงานได้ด้วยคำพูดประโยคเดียว แต่คุณต้องรู้ว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ของคุณคนเดียวนะคะ”
จิ้นเฟิงเหราไม่เคยลำบากมาก่อน เขาจะไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้ได้ยินส้งหวั่นชีงพูดเช่นนี้ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว จึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง”
ส้งหวั่นชีงกล่าวอีกครั้งว่า “แต่การมีเงินสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการจริงๆ เมื่อก่อนจะได้เจอ คณบดีก็ต่อเมื่อมีเคสผ่าตัดใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าพอคุณอยู่ที่นี่ เขาถึงกับออกหน้ามาตรวจคนไข้ด้วยตัวเอง”
จิ้นเฟิงเหราเงียบราวกับเป็นใบ้ “แล้วเขาจะทำหน้าจริงจังไปทำไม”
“เพราะคุณรวยมากไงล่ะ” ส้งหวั่นชีงพูดต่อ
คำพูดนี้ของเธอทำให้จิ้นเฟิงเหราไปต่อไม่เป็น จึงทำได้แต่เงียบ
ส้งหวั่นชีงก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เธอเดินไปเข็นรถเข็นจ่ายยาของเธอมาที่นี่ พลางใส่ยาให้จิ้นเฟิงเหราอย่างเงียบๆ
จิ้นเฟิงเหรานอนอยู่ตรงนั้น กล่าวพึมพำว่า “เมื่อกี้ตอนที่ คณบดี มา ผมนึกว่าวันนี้เขาจะเป็นคนเปลี่ยนยาให้ผมเสียอีก ทำผมตกใจแทบแย่”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หัวใจของส้งหวั่นชีงก็อุ่นวาบ พลางยิ้มถามว่า “แสดงว่าคุณอยากให้ฉันเป็นคนเปลี่ยนยาให้คุณใช่ไหม”
แต่ว่าดูเหมือนจิ้นเฟิงเหราจะไม่ได้ยินถึงความนัยที่เธอสื่อออกมา “เปล่าหรอก ผมแค่คิดว่ายังไงก็ควรหาพยาบาลสวยๆ สักคนมาให้ผม แต่กลับเอาตาแก่คนหนึ่งมานี่มันยังไงกัน”
ทันทีที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา ส้งหวั่นชีงก็ใช้สำลีจิ้มไปที่แผลเขาอย่างแรง จิ้นเฟิงเหราเจ็บจนแยกเขี้ยว ร้องเสียงดังว่า “ส้งหวั่นชีงคุณอยากให้ผมเจ็บจนตายใช่ไหม”
“สมควรแล้ว จะได้ไม่มีใครออกไปคิดร้ายกับพยาบาลสาวสวย” ส้งหวั่นชีงกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี
ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า เธอเป็นอะไรไป? หรือว่าจะหึง?
เขายังคิดไม่ทันเสร็จ ส้งหวั่นชีงพูดอย่างเย็นชาว่า “เอาล่ะ ใส่ยาเสร็จแล้ว ฉันไปทำงานก่อนนะคะ”
จิ้นเฟิงเหราเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ส้งหวั่นชีงก็เข็นข้าวของของเธอเดินจากไปแล้ว
ตอนออกมา ส้งหวั่นชีงก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาทำไม่มีอะไรร้ายแรงสักหน่อย คราวหน้าเธอจะพูดแบบนี้ไม่ได้อีก เพราะหากทำให้คุณชายรองจิ้นโกรธขึ้นมา ตัวเธอเองคงจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ไหว
อืม ฉันดูแลเขาเพราะเงินต่างหาก
ตอนที่เธอเดินออกมา ก็ได้ยินคนคุยกันที่ทางเดิน
“เอ๋? ส้งหวั่นชีงไปใส่ยาให้คุณชายรองจิ้นอีกแล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว เอาแต่ตั้งตาคอยจะไปที่นั่นทุกวัน แทบจะไม่อยากออกมาจากห้องคนไข้ด้วยซ้ำ เวลาเข้ากะก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวด้วยล่ะ”
นางพยาบาลอีกคนได้ยิน จึงรีบพูดขึ้นว่า “เธอนี่โง่จัง ได้ปีนขึ้นกิ่งไม้สูงอย่างคุณชายรองจิ้นแล้ว ยังจะเข้ากะไปทำไมกัน”
“ฉันว่านะ ยังคงเป็นส้งหวั่นชีงที่มองการณ์ไกล”
“โธ่เอ๊ย มองการณ์ไกลตรงไหนกัน ไม่หัดดูตัวเองบ้างว่าอยู่ในสถานะอะไร อย่างหล่อนมีอะไรคู่ควร ข้างกายคุณชายรองจิ้นมีสาวสวยตั้งมาก หน้าตาอย่างหล่อนจะเข้าตาเขาหรือ”
พอฟังที่คนคนนี้พูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังออกมาจากคนทั้งกลุ่มทันที
ส้งหวั่นชีงยืนอยู่อีกฟาก พลางฟังพวกหล่อนพูดกัน อยากจะเห็นนักว่าพวกหล่อนจะพูดไปได้ถึงไหนกัน
เวลานี้ หัวหน้านางพยาบาลเดินเข้ามาพอดี พอคนกลุ่มนั้นเห็น ก็รีบหุบปากทันที
เห็นเพียงว่าหัวหน้านางพยาบาลกระแอมเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง ราวกับตั้งใจอย่างไรอย่างนั้น กล่าวถามเสียงดังว่า “ส้งหวั่นชีงล่ะ ไปไหนอีกแล้ว”
เวลานี้บางคนที่ชอบชมความครึกครื้น รีบยืนขึ้นกล่าวว่า “ก็อยู่ในห้องคุณชายรองจิ้นไม่ใช่เหรอคะ”
คนกลุ่มหนึ่งทำสีหน้าอิจฉา ทยอยกันด่าทอส้งหวั่นชีง
ส้งหวั่นชีงเกิดกลัวว่าเงินเดือนจะถูกหักจากการขาดงาน เธอจึงรีบเดินออกมา กล่าวเสียงเบาว่า “หัวหน้าพยาบาลคะ ฉันอยู่นี่ค่ะ”
พอคนเหล่านั้นเห็นเธอปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน สีหน้าก็เจื่อนลงทันที ราวกับกลัวว่าเมื่อกี้เธอจะได้ยินอะไรเข้า
แต่ก็มีบางคนที่ชอบชมความครึกครื้นไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ รีบกล่าวว่า “เพิ่งกลับมาจากห้องคุณชายรองจิ้นสินะ”
ส้งหวั่นชีงทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของพวกหล่อน จัดการธุระต่อไป ทำเรื่องของตัวเองให้ดี