บทที่ 444 ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่นิด
จิ้นเฟิงเหราเลื่อมใสที่จิ้นเฟิงเฉินดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะเป็นนิสัยที่ไร้คู่ตลอดชีวิต แต่พูดถึงจีบสาวแล้วก็สมควรที่จะได้รับชื่อ
ปรมาจารย์
พูดว่าทำก็ทำเลย จิ้นเฟิงเหรามาที่ห้องด้านนอกของจิ้นเฟิงเฉินเลยทันที
แต่ก่อนที่จะเคาะประตู จิ้นเฟิงเหราก็หยุดมือชั่วขณะ
เขาเข้าไปถามอย่างนี้ จะไม่น่าหรือเปล่า?
พี่ชายของเขาคงจะไม่เท่าไหร่ แต่พี่สะใภ้จะต้องหัวเราะเยาะเขาอย่างแน่นอน
ช่างเถอะ ยังไงก็ทิ้งความคิดนี้ไปแล้วกัน
เขาไม่อยากถูกคนอื่นดูถูก ทำได้แค่เดินกลับไปที่ห้องอย่างท้อแท้
จิ้นเฟิงเหราสองสามวันนี้ต่างก็หมกตัวอยู่ในห้องมาตลอด แค่ตอนที่กินข้าวอาจจะเจอหน้าแม่จิ้นของพวกเขาบ้าง
นี่ทำให้แม่จิ้นรู้สึกถึงความผิดปกติบ้างเล็กน้อย ทำไมอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน?
ตามนิสัยของจิ้นเฟิงเหราแล้ว ก็น่าจะไปข้างนอกนานแล้ว จะอยู่เชื่องที่บ้านได้ที่ไหน?
แม่จิ้นแอบเดินขึ้นไปบนตึก พออยากที่จะเสาะหา
ใครจะคิดถึงว่าจะบังเอิญเจอจิ้นเฟิงเหราที่ออกมาจากห้อง สองคนเจอหน้ากันมีความอึดอัดเล็กน้อย
แม่จิ้นรีบหมุนตัวไปอธิบายว่า “ฉันมาดูว่าแกตื่นหรือยัง จะได้ให้ห้องครัวเตรียมอาหาร”
จิ้นเฟิงเหราก็ไม่ได้สงสัยอะไร ลงตึกไปพูดไปว่า “แม่ วันนี้ผมไม่กินข้าวที่บ้านนะ เพื่อนผมนัดผมออกไปข้างนอก จะกลับมาดึกหน่อย”
พูดจบก็รีบเดินออกไป
แม่จิ้นตะโกนอยู่ด้านหลังว่า“ไม่อนุญาตให้กินเหล้า ขาของแกยังมีบาดแผลอยู่ ถ้าแกกินเหล้าเมากลับมา ดูสิฉันไม่ตีแกให้ตายให้มันรู้ไป”
แต่คำตอบที่กลับมากลับเป็นเสียงปิดประตู แม่จิ้นเม้มปากแล้วรีบไปยุ่งเรื่องของตัวเอง
เดินไปลานหน้าบ้าน จิ้นเฟิงเหราเห็นเจียงสื้อสื้อที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป
เขามาด้านหน้าของเจียงสื้อสื้ออย่างถ่อมตัว แล้วถามว่า“พี่สะใภ้ ผมถามอะไรหน่อยคุณหน่อยได้ไหม?คุณรู้ว่าอะไรคือชอบและรักหรือเปล่า?”
เจียงสื้อสื้อมองจิ้นเฟิงเหรา ซุบซิบถามว่า“ทำไมถึงนึกถามคำถามนี้?ปรมาจารย์ด้านความรักของบ้านพวกเรา?”
ได้ยินคำพูดที่ล้อเล่นของเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเหราเกาหัวอย่างเขินอาย
“พี่สะใภ้คุณอย่าถากถางผมเลย ผมถือเป็นปรมาจารย์ด้านความรักที่ไหน เป็นพวกใช้การไม่ได้ยังจะดีกว่า ผมก็แค่ถามแทนเพื่อนของผม ตอนนี้เขากำลังตามจีบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”
จิ้นเฟิงเหราหลบสายตาเล็กน้อย เจียงสื้อสื้อรู้ว่าเขากำลังพูดโกหกอยู่ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมา
วางการดน้ำที่อยู่ในมือลง เจียงสื้อสื้อและจิ้นเฟิงเหราก็นั่งข้างม้านั่งยาว
เจียงสื้อสื้อเงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ยืมประโยคในอินเตอร์เน็ตแล้วกัน ขอบคือบังอาจ รักคือความยับยั้งชั้งใจ ถ้านายชอบคนหนึ่งด้วยความจริงใจแล้ว นายอยากจะทำให้เขาชอบ ใช้ชีวิตมีความสุขแต่ไม่ใช่ใช้วิธีร้อยเล่ห์มารยาเพื่อให้ได้เขามา”
หยุดสักพัก เจียงสื้อสื้อพูดต่อว่า “เปลี่ยนอีกประโยคหนึ่งว่า ชอบคือใจหวั่นไหว เวลาไม่เจอเขาก็อยากเห็นเขา พอคิดถึงคนนั้นใจก็จะเต้นเร็วขึ้น มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาทั้งหมดต่างก็หวาน กระทั่งรักนั่นก็คืออยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต และก็ไม่อยากแยกจากกันแม้แต่วินาทีเดียว”
มองท่าทางที่มีความสุขบนใบหน้าของเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเหราก็อิจฉามาก
แต่ในคำพูดของเจียงสื้อสื้อ เขากลับไม่เข้าใจ
คิดมาครึ่งวันก็ยังคิดไม่ออกเลย
เขาคิดมาโดยตลอดว่าชอบและรักมีความรู้สึกที่ระดับเดียวกัน ซึ่งไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน
“งั้นชอบคนหนึ่งสรุปแล้วมีความรู้สึกยังไง?”จิ้นเฟิงเหราถามต่อ
เจียงสื้อสื้อคิดหนักสักครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ชอบคนหนึ่งก็คือพอไม่เจอก็จะหมดหวัง ได้ยินชื่อเขาก็จะเงยหน้าอย่างคิดได้ ไม่ได้รับข้อมูลของเขาก็ทำตัวไม่ถูก ไม่อยากให้เขาพูดคุยกับเพื่อนต่างเพศ ทั้งหมดก็คือความหึงหวง”
ฟังคำพูดของเธอจบแล้ว จิ้นเฟิงเหราไม่พูดอะไร ก้มหัวไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เอาตามที่เจียงสื้อสื้อพูดมา เหมือนว่าเขาก็ไม่ได้ถือว่าชอบส้งหวั่นชีง
เพียงแค่เป็นความรู้สึกรูปแบบอื่นเท่านั้น วันนั้นที่พูดวู่วามออกมาว่าคบกันก็แค่เพราะว่าอยู่ภายใต้บรรยากาศชนิดนั้นเอง
เจอส้งหวั่นชีงใจหวั่นไหวไหม?เหมือนว่าไม่ได้มีความรู้สึกชนิดนี้
ไม่เจอเขาจะหมดหวังไหม? ก็ไม่แน่นอน
ได้ยินชื่อของเขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาไหม?
อันนี้ จิ้นเฟิงเหรากลับเคยมี แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาชอบเธออย่างนั้น
อย่างนี้ จิ้นเฟิงเหราก็เหมือนโล่งใจออกมาได้ ยืดเอาบิดขี้เกียจ
สองสามวันนี้ปัญหาที่รุมเร้าเขาถ็ถือว่าได้คำตอบแล้ว
เจียงสื้อสื้อมองปฏิกริยาของจิ้นเฟิงเหรา แต่ก็ไม่ได้ไล่ถามต่อไปอีก
ยังไงเหล่านี้เป็นปัญหาของความรู้สึกของพวกเขา คนรอบข้างถึงแม้จะเข้าใจ แต่ก็ต้องการให้เจ้าตัวไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง
ถึงแม้ว่าดูจิ้นเฟิงเหราแล้วเป็นคนที่ใช้ชีวิตสบาย ๆ คาดไม่ถึงว่านี่เป็นวิธีชนิดหนึ่งที่เขาปกป้องตัวเอง
ด้านความรักยิ่งไม่มีประสบการณ์อะไร ดังนั้นเวลานี้ตัวเขาเองจะต้องไปรับรู้ เข้าใจให้ชัดเจน
สองคนนั่งที่ม้านั่งยาวอย่างเงียบสงบ ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร
หลังจากนานมาก จิ้นเฟิงเหราลุกขึ้น พูดขอบคุณกับเจียงสื้อสื้อว่า “พี่สะใภ้ ผมเข้าใจบ้างเล็กน้อยแล้ว ขอบคุณ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วพูดว่า“เป็นครอบครัวเดียวกันพูดขอบคุณอะไร เพียงแต่ว่าเจอผู้หญิงที่ชอบก็ไปตามจีบเถอะ อย่าถึงเวลานั้นมาเสียใจภายหลัง”
“ผมเข้าใจแล้ว พี่สะใภ้”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้าแล้วเดินจากไป
เตรียมรถเพื่อไปสถานที่นัดหมายกับเพื่อน แต่กลับแอบมาที่โรงพยาบาลของส้งหวั่นชีง
ช่วงเวลาบ่าย ตั้งใจซื้อผ้าปิดจมูกสวมใส่ป้องกันถูกคนอื่นจำได้
และก็กลัวถูกส้งหวั่นชีงเห็น สองคนจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด
แอบมาที่ห้องเข้าเวร ยื่นหน้ามองเข้าไปข้างในแต่ก็ไม่พบเงาร่างของส้งหวั่นชีง
ในใจของจิ้นเฟิงเหราอดไม่ได้ที่จะหมดหวัง
หมุนตัวต้องการที่จะออกไป ก็ได้ยินเสียงของส้งหวั่นชีงที่พูดอยู่ จิ้นเฟิงเหรารีบหลบไปอีกด้าน
ส้งหวั่นชีงกำลังพูดหัวเราะกับเพื่อนร่วมงานอยู่พอดีแต่ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ
เห็นเขาไม่มีท่าทางที่ผิดปกติ จิ้นเฟิงเหราก็แอบย่องหนีออกไป
หลังจากที่เขาออกไปแล้ว ส้งหวั่นชีงก็หันไปมองทางนั้น เมื่อกี้เหมือนว่าเธอได้เห็นเงาร่างของจิ้นเฟิงเหรา อดไม่ได้ที่จะหยุดเท้า
“หวั่นชีง รีบไปเถอะ เดี๋ยวไปสายหัวหน้าพยาบาลก็จะว่าเอา”
เห็นส้งหวั่นชีงยืนไม่ขยับ เพื่อนร่วมงานก็ดึงส้งหวั่นชีง
“อืม ได้”
พูดจบ ส้งหวั่นชีงมองไปทางนั้นอีก ไม่มีเงาร่างแล้วเมื่อกี้เขาคงจะมองผิดไป
ทำไมสองสามวันนี้เขารู้สึกว่าตาจะมองเห็นเงาร่างของจิ้นเฟิงเหราบ่อย ๆ ส้งหวั่นชีงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ตอนนี้เขาขยันหาเงินถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ ให้แม่มีชีวิตที่ดี
ความรู้สึกอะไร ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาแม้แต่นิด
เอาความคิดที่ฟุ้งซ่านลบออกให้หมด แล้วส้งหวั่นชีงก็ไปทำงาน
จิ้นเฟิงเหราที่ออกจากโรงพยาบาลมาไม่มีความคิดที่จะออกไปเที่ยว แล้วก็ไปที่ริมแม่น้ำ
ลมเบา ๆ พัดผ่านแก้มของจิ้นเฟิงเหรา เขาอยากที่จะเพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบนี้
หาที่นั่งว่างแล้วนั่งลง จิ้นเฟิงเหราเริ่มปล่อยตัวเองให้สบาย ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
กระทั่งถึงตอนเย็น จิ้นเฟิงเหราถึงกลับจากที่นี่ไป