บทที่ 503 แม่ฟื้นแล้วเหรอ
หลังคุยรายละเอียดทุกอย่างเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ได้เดินออกจากห้องทำงานของลันเฟมา
เจียงสื้อสื้อกำลังตกอยู่ในภวังค์ มือขวาถือมาการองที่ลันเฟให้มาและเดินไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนจิ้นเฟิงเฉินก็จับมืออีกข้างของเธอเอาไว้ แล้วทั้งคู่ก็เดินชมร้านต่างๆ ไปอย่างโรแมนติก
สายลมที่พัดผ่านทำให้ใบไม้กระทบกันจนเกิดเป็นเสียงซ่าๆ ฟังดูเหมือนเสียงดนตรีที่กำลังถูกเล่นอย่างไพเราะ
ภายใต้การแสดงที่บันเทิงแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็เริ่มจินตนาการถึงชุดเจ้าสาวของตัวเอง
พอนึกถึงภาพที่ตัวเองกำลังสวมชุดเจ้าสาวที่สวยงามอยู่ ริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆ ฉีกขึ้น
แล้วเสียงมือถือที่ค่อนข้างเร่งรีบก็ได้ดึงเธอให้กลับมาจากภวังค์อีกครั้ง
จิ้นเฟิงเฉินที่สะพายกระเป๋าของเธอเอาไว้ พอเห็นว่ามีสายเข้าเขาก็ได้หยิบมือถือออกมา
“ใครโทรมาเหรอคะ?”
เจียงสื้อสื้อชะเง้อหน้ามองด้วยความสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นเบอร์บ้านครับ”
นิ้วที่เรียวยาวของจิ้นเฟิงเฉินได้เลื่อนผ่านหน้าจอเพื่อรับสาย
เขาเอามือถือไปแนบไว้ที่หูของเจียงสื้อสื้อเพื่อให้เธอง่ายต่อการคุย
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่านี่เป็นเบอร์ของคุณเจียงสื้อสื้อรึเปล่าคะ?”
เสียงที่ไม่คุ้นเคยของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เจียงสื้อสื้อรีบกลืนอาหารในปากลงไปพร้อมกับความประหลาดใจเล็กน้อย
เธอพยักหน้า แล้วถามไปอย่างสุภาพว่า “ใช่ค่ะ แล้วคุณเป็นใครเหรอคะ?”
“ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณหมอฉินหยางค่ะ คุณเป็นญาติของผู้ป่วยที่ชื่อฟางเสว่มั่นใช่ไหมคะ?”
พอได้ยินชื่อแม่หัวใจของเจียงสื้อสื้อก็เต้นรัวขึ้นมาทันที
นิ้วของเธอเริ่มสั่น จนมาการองที่ถืออยู่หยุดออกจากมือไป แต่จิ้นเฟิงเฉินก็รับมันไว้ได้อย่างรวดเร็ว
เขาขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง สีหน้าของเจียงสื้อสื้อในตอนนี้ดูไม่ดีเอาซะเลย ใบหน้าที่สดใสของเธอได้หายไปจนหมดแล้ว
เธอรีบแย่งมือถือจากจิ้นเฟิงเฉินไปทันที และรีบพูดกับคนทางนั้นว่า “ใช่ค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของเธอ เกิดอะไรขึ้นกับแม่เหรอคะ? หรือว่าอาการของแม่หนักขึ้นเหรอคะ”
หลังจากที่แม่ของเธอป่วยหนัก โทรศัพท์จากโรงพยาบาลก็ไม่ต่างอะไรกับการมาเยือนของฝันร้าย ทุกครั้งที่โทรมามันก็ทำให้เธอต้องวิตกกังวลทุกที
ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หัวใจของเจียงสื้อสื้อกำลังเต้นรัวเพราะความหวาดกลัว
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว น้ำเสียงที่พูดก็กำลังสั่นเครือ
ทำเอาจิ้นเฟิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็ต้องปวดใจจนขมวดคิ้วอย่างแรง
เมื่อพยายามเข้าไปฟังว่าพวกเธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ หัวใจของเขาก็บีบรัดขึ้นมาเหมือนกัน
“ไม่ใช่ค่ะ คุณเจียงคะ คุณอย่าเพิ่งแตกตื่น ตอนนี้แม่ของคุณได้ฟื้นขึ้นมาแล้วค่ะ คุณหมอฉินกำลังตรวจดูอาการของเธออย่างละเอียดอยู่ เขาเลยให้ฉันมาแจ้งคุณให้ทราบก่อนค่ะ”
“คะ คุณบอกว่าแม่ของฉันฟื้นแล้วเหรอคะ?”
เจียงสื้อสื้อตกใจจนลืมหายใจไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ซึมซาบข้อมูลทั้งหมดที่เพิ่งได้รับมา
“ใช่ค่ะ ถ้าคุณมีเวลาก็สามารถเข้ามาเยี่ยมเธอได้เลยนะคะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ยินดี
“ว่างค่ะ ฉันว่าง ขอบคุณมาก ขอบคุณพวกคุณมากนะคะ” เจียงสื้อสื้อตอบด้วยความตื่นเต้น
น้ำตาแห่งความดีใจได้เอ่อล้นออกมา ความสุขทั้งปวงวิ่งพล่านอยู่ในหัว ยากที่จะระบายออกมาเป็นคำพูด
ทันทีที่วางสาย เธอก็หันมามองหน้าจิ้นเฟิงเฉิน ไม่รู้ทำไมจู่ๆ จมูกมันก็รู้สึกเปรี้ยวๆ
สองเท้าลอยขึ้นจากพื้น แล้วกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกเขา กอดคอของเขาไว้แน่นๆ
“เฟิงเฉินคะ โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าแม่ของฉันฟื้นแล้วค่ะ” เธอพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำกับน้ำเสียงที่สั่นเครือ
หลังผ่านความรู้สึกที่ทั้งสุขและทุกข์เธอเองก็รู้สึกสับสนเป็นอย่างมากไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ว่ามันคือเรื่องจริงก็คือไออุ่นจากร่างกายของจิ้นเฟิงเฉินนั่นเอง
จิ้นเฟิงเฉินที่เห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจดี มือใหญ่ๆ ของเขาโอบเข้าที่เอวของเธอ ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของเขาเลื่อนมาใกล้ๆ ใบหูของเธอ น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนได้ดังขึ้น “ไม่มีอะไรที่จะน่ายินดีไปกว่านี้แล้ว เรากลับกันเลยแล้วกันครับ”
หลังจากที่พูดปลอบโยนเจียงสื้อสื้อเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็สั่งให้คนไปจองเที่ยวบินที่เร็วที่สุดที่จะกลับประเทศ
หลังจากที่บินมาเกินกว่าสิบชั่วโมง พอลงจากเครื่องทั้งคู่ก็ตรงไปที่โรงพยาบาลในทันที
พอสอบถามข้อมูลที่เคาน์เตอร์แล้วก็ได้มีพยาบาลคนหนึ่งนำทางทั้งสองไป
พอมาถึงที่ห้องผู้ป่วยก็เจอเข้ากับฉินหยาง
เขาเพิ่งตรวจอาการคนไข้แล้วออกจากห้องมาพอดี เจียงสื้อสื้อรีบเดินเข้าไปถามเขาในทันที “คุณหมอฉินคะ ฉันคือเจียงสื้อสื้อ ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้แม่ของฉันเป็นยังไงบ้างเหรอคะ?”
พอฉินหยางที่อยู่ในชุดกาวสีขาวเห็นหน้าเจียงสื้อสื้อแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นออกมา “สื้อสื้อคุณมาแล้วเหรอครับ?”
สายตาของเขาเหลือบไปมองจิ้นเฟิงเฉินที่โอบเจียงสื้อสื้ออยู่ข้างๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“แม่ของคุณนี้ปลอดภัยแล้ว ตอนนี้เธอยังตื่นอยู่ พวกคุณสามารถเข้าไปเยี่ยมเธอได้เลย ส่วนรายละเอียดต่างๆ ไว้ค่อยมาคุยกันก็ได้ครับ”
“ได้ค่ะ ฉันต้องขอบคุณมากเลยนะคะ”
ที่เตียงคนไข้ ฟางเสว่มั่นที่มีเข็มจิ้มอยู่ตามแขนกำลังหายใจอย่างหนักหน่วง
เมื่อได้ยินเสียง เธอก็ค่อยๆ หันมามอง
ทันทีที่แม่ลูกสบตากัน ทั้งสองก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ
เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ทันใดนั้นน้ำตาทั้งหมดก็ได้เอ่อล้นออกมา
ริมฝีปากที่สั่นรัวเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากว่า “แม่……”
“สะ สื้อสื้อ……”
ฟางเสว่มั่นจ้องมองลูกสาวพร้อมกับน้ำตาที่นองเต็มหน้า ร่างกายที่อ่อนแอขยับได้ไม่ดั่งใจ เธออยากจะยื่นมือไปสัมผัสผู้เป็นลูก
เจียงสื้อสื้อกุมมือของเธอขึ้นมาตรงหน้าตัวเอง และร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเสียง “แม่คะ หนูเอง ในที่สุดแม่ก็ฟื้นสักทีหนูคิดว่า แม่จะทิ้งหนูไปซะแล้ว……”
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นแม่ เจียงสื้อสื้อก็ได้กลับไปเป็นเด็กสาวที่ดูอ่อนแออีกครั้ง พร้อมที่จะระบายความรู้สึกของตัวเองที่มีออกมา
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง……แม่ไม่มีทางทิ้งลูกไปหรอก ลูกรักของแม่ ไม่ร้องนะ”
แม่ลูกทั้งสองกำลังกอดคอกันร้องไห้ พร้อมกับน้ำตาแห่งความสุขที่กำลังไหลรินออกมา
พักใหญ่กว่าอารมณ์ทั้งสองจะกลับมาปกติติได้อีกครั้ง
จิ้นเฟิงเฉินยื่นกระดาษทิชชูให้ทั้งคู่อย่างเงียบๆ และเช็ดน้ำตาให้เจียงสื้อสื้อโดยอัตโนมัติ
ด้วยเหตุนี้ฟางเสว่มั่นจึงได้สังเกตเห็นจิ้นเฟิงเฉินที่อยู่ในห้องด้วย พอเห็นการแสดงออกของทั้งสองคนที่ดูรักใคร่กันอย่างมาก ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
น้ำเสียงที่แหบซ่าน ด้งขึ้นพร้อมกับคำถามที่ซีเรียสของฟางเสว่มั่นว่า “สื้อสื้อ เขาคือ?”
พอได้ยินอย่างนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็ย่อตัวลงมาเพื่อให้ฟางเสว่มั่นสามารถมองเขาได้ถนัดขึ้น และแสดงออกถึงสถานะของตัวเองอย่างชัดเจน
“แม่ครับ นี่คือการพบกันครั้งแรกของเรา ผมชื่อจิ้นเฟิงเฉิน เป็นสามีขงสื้อสื้อครับ”
คำว่าแม่ทำให้ฟางเสว่มั่นถึงกับอึ้ง พักหนึ่งกว่าจะตั้งสติได้
บรรยากาศในห้องดูอึดอัดขึ้นมาทันที จิ้นเฟิงเฉินที่เป็นคนเรียบเฉยตอนนี้ใบหน้าของเขาก็แอบเห็นถึงความตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกัน
พอเจียงสื้อสื้อที่อยู่ข้างๆ ได้เห็นการแนะนำตัวของจิ้นเฟิงเฉินแล้ว มันก็ทำให้เธอจำเป็นต้องฝืนยิ้มออกมา
เธอจับกุมมือของจิ้นเฟิงเฉินไว้ จากนั้นก็หันไปบอกกับผู้เป็นแม่อย่างเปิดอกว่า “ที่เขาพูดมาคือความจริง แม่คะ เขาคือลูกเขยที่หนูหามาให้แม่นะคะ แต่หนูตัดสินใจไปเองโดยที่ยังไม่ได้คุยกับแม่ก่อน แม่จะโกรธไหมคะ?”
เมื่อฟางเสว่มั่นได้ยินคำพูดของลูกสาว เธอก็ตั้งสติขึ้นมาได้ และหันไปพิจารณาในตัวจิ้นเฟิงเฉินอีกครั้ง
ทันใดนั้นรอยยิ้มของเธอก็ได้ปรากฏออกมา “ทำไมแม่ต้องโกรธลูกล่ะ แค่ได้เห็นว่าลูกเป็นฝั่งเป็นฝาแม่ก็สบายใจแล้ว”
เธอดูออกว่าสายตาที่จิ้นเฟิงเฉินมองลูกสาวของตัวเองนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่ส่งออกมาจากใจจริงๆ
หลังจากที่ตัวเองล้มป่วย เธอเองก็ปล่อยวางไปได้หลายอย่างแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังวางไม่ลงก็คือเรื่องลูกสาวนี่แหละ
พอเห็นลูกสาวหาที่พักพิงได้แบบนี้ มันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาเลยล่ะ
เธอค่อยๆ ยื่นมือที่ผอมแห้งของตัวเองไปวางอยู่บนมือของทั้งคู่ และยิ้มออกมาด้วยความยินดี
พอเห็นอย่างนั้น เจียงสื้อสื้อก็เบาใจของมาก
ในตอนที่ฟางเสว่มั่นกำลังจะถามว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างอยู่นั้นเอง จู่ๆ ร่างกายก็เกิดอ่อนล้าขึ้นมา
ความเหน็ดเหนื่อยถูกแสดงออกมาทางสีหน้าพร้อมกับดวงตาที่สามารถปิดลงได้ทุกเมื่อ