บทที่ 542 เผาเป็นขี้เถ้า
จิ้นเฟิงเฉินยื่นอยู่แบบนั้นนิ่งๆ ไม่สนใจเสียงข้างหู
ไม่ เป็นไปไม่ได้ สื้อสื้อต้องยังมีชีวิตอยู่
ทำไมทุกคนถึงได้สาปแช่งเธอ น้องชายของเขาเองก็พูดแบบนี้
จิ้นเฟิงเฉินยึดหลังตรง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย
ปริปาก พูดตัดคำพูดของจิ้นเฟิงเหรา “พวกนายไม่อยากหาเธอ ฉันไปหาเอง”
พูดจบ เขาก็ก้าวเดินไปข้างหน้า
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกกังวล
เขาไปหา? เขาจะหายังไง หน่วยค้นหาผู้เชี่ยวชาญก็พูดไปแล้ว โอกาสรอดมีไม่ถึงสิบ เขาคิดจะทำอะไร?
จิ้นเฟิงเหรากำลังจะขีดขวางพี่ชาย ทันใดนั้น ร่างที่อยู่ข้างหน้า เหมือนถูกดูดลมออกจากร่าง ร่างสูงนั้นล้มไปทันที
“ฉันไม่เชื่อ เธอต้องไม่เป็นไร เธอต้องกลับมา”
จิ้นเฟิงเฉินโหยหวนอย่างเจ็บปวด ในสายตามีแต่รอยยิ้มของเจียงสื้อสื้อ
พอรู้ว่าตัวเองท้อง เธอดีใจขนาดนั้น
บอกเขาว่า ลูกคนที่สองของพวกเขากำลังจะมา เสี่ยวเป่าจะไม่เหงาอีก เขาจะมีน้องชายหรือน้องสาวคนหนึ่ง
พวกเขาเคยวาดฝันถึงลูกที่กำลังจะเกิด
แต่ รวยยิ้มของเธอยังอยู่ในสายตาเขาตลอด คนกลับไม่อยู่แล้ว
ทันใดนั้น จิ้นเฟิงเฉินกำหมัดแน่น ชกลงไปที่ก้อนอิฐบนพื้น ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนไร้ความรู้สึก
มือที่สวยและเรียวยาว เริ่มมีรอยแตก เลือดซึมออกมา
ตาจิ้นเฟิงเฉินแดงก่ำ ไม่มีความรู้สึกเจ็บเลย
“พี่”
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกเป็นห่วงมาก เรียกออกจากอย่างทนไม่ได้
พี่ชายที่ใจเย็นเข้มแข็ง ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ไม่เคยแสดงอาการอ่อนแอแบบนี้มาก่อน
จิ้นเฟิงเหรานับถือพี่ชายคนนี้มาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโต
รู้ดีในใจ ถึงแม้ตัวเองจะพยายามขนาดไหน ก็เป็นแบบพี่ชายไม่ได้
ความคิดของจิ้นเฟิงเฉิน ละเอียดจนเหมือนเครื่องจักรที่ไม่เคยทำงานผิด ใจเย็นแน่แน่วจนเหมือนหุ่นยนต์
เขาก็เคยสงสัย จิ้นเฟิงเฉินขาดความรู้สึกที่มนุษย์ควรมี
แต่วันนี้……เห็นสภาพที่ควบคุมตัวเองไม่ได้
รู้สึกเจ็บหัวใจมาก…..
จิ้นเฟิงเหราทนความรู้สึกเสียใจ พูดปลอบ “พี่ ใจเย็นหน่อย ถ้าพี่สะใภ้รู้ว่าพี่ทำร้ายตัวเองแบบนี้ เธอต้องเสียใจแน่”
จิ้นเฟิงเฉินเหมือนไม่ได้ยินอะไร
จิ้นเฟิงเหราเหมือนไม่มีวิธีแล้วจึงเข้าไปดึงแขนของเขาไว้ พยายามห้ามเขาทำร้ายตัวเอง
ตอนที่มือเขากำลังจะโดนตัวจิ้นเฟิงเฉิน เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า กระอักเลือดออกมา
จิ้นเฟิงเหราเห็นแล้วก็ตกใจอึ้งอยู่กับที่ แล้วตะโกนพูดขึ้นมา “พี่ เป็นอะไร?”
จิ้นเฟิงเฉินเลือดเต็มปาก ทุกอย่างมืดไปหมด
เขาได้ยินเสียงเรียกจากจิ้นเฟิงเหราอยู่ข้างหู แต่ไม่มีแรงตอบ รู้ว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติ
เพราะว่าตั้งแต่เจียงสื้อสื้อเกิดเรื่องมา เขาไม่ได้นอนแม้แต่ชั่วโมงเดียว
วันนี้ ร่างกายเริ่มต่อต้านเขาแล้ว
แต่เขาล้มป่วยไม่ได้ เขายังต้องไปหาสื้อสื้อต่อ
ไม่ว่าในสมองเขาจะมีความคิดอะไร แต่ร่างกายเริ่มไม่ไหวแล้ว
หลับตา เขาสลบไป
จิ้นเฟิงเหรารีบยื่นมือไปรับไว้ รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาจิ้นเฟิงเฉินเป็นเสาหลักของพวกเขา
ไม่กล้าเสียเวลา จิ้นเฟิงเหราอุ้มร่างสูงใหญ่ของจิ้นเฟิงเฉิน รีบวิ่งไปที่รถ
“พี่ พี่ รอก่อนนะ เราจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ พี่เป็นอะไรไปไม่ได้นะ ถ้าพี่เป็นอะไรไป พี่สะใภ้กลับมาจะไม่ยกโทษให้พี่แน่นอน”
จิ้นเฟิงเหราเหยียบคันเร่งถึงสุด เหงื่อเต็มหน้า
มือที่จับพวงมาลัยไว้ สั่นจนควบคุมไม่ได้
ฝั่งหนึ่งก็เป็นห่วงจิ้นเฟิงเฉินที่นอนอยู่ด้านหลังไม่ได้ ฝั่งหนึ่งก็บ่นพึมพำไป “พี่ ทนอีกนิดนะ เดี๋ยวเราก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”
แต่ตอนนี้จิ้นเฟิงเฉินจะไปได้ยินอะไร เป็นเพียงแค่คำปลอบใจตัวเองของจิ้นเฟิงเหราเท่านั้น
พอถึงโรงพยาบาล จิ้นเฟิงเฉินก็ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน
จิ้นเฟิงเหราพิงอยู่ข้างกำแพง มื้อห้วยลงอย่างอ่อนแรง เพิ่งรู้ว่ามือตัวเองยังสั่นไม่หยุด
ไม่เป็นไร ต้องไม่เป็นไร เขาบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
จิ้นเฟิงเฉินเกิดเรื่อง ปิดพ่อจิ้นแม่จิ้นไม่ได้อยู่แล้ว
ทั้งสองมาถึงโรงพยาบาลหลังหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ยังดีที่จิ้นเฟิงเฉินได้ออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้ว ย้ายไปยังห้องผู้ป่วยธรรมดา แต่ยังไม่ฟื้น
สภาพที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง ดูอ่อนเพลียมาก
แม่จิ้นเห็นแล้วก็ดึงมือจิ้นเฟิงเหรามาจับไว้ ใจเสียจนจะบ้าแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น พี่ชายเธอเป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมได้?”
ร่างกายจิ้นเฟิงเฉินแข็งแรงมาตลอด หลายปีมาไม่เคยแม้แต่เป็นหวัด
ยิ่งเรื่องเป็นลม เป็นไปไม่ได้เลย
จิ้นเฟิงเหราลูบหน้า พูดเสียงเบา “พ่อกับแม่อย่าเพิ่งกังวลนะครับ พี่ไม่เป็นไร หมอบอกว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป พักผ่อนสองวันก็ดีขึ้น”
“แล้วทำไมยังไม่ฟื้น”
แม่จิ้นไม่เชื่อ พ่อจิ้นก็สีหน้าสงสัย
มองสีหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสองแล้ว จิ้นเฟิงเหราก็ยิ้มเฉื่อยๆ “ร่างกายพี่หักโหมเกินไป หมอบอกว่าต้องรอพี่ตื่นมาเอง ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้”
สีหน้าแม่จิ้นเป็นห่วง มองลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงหน้าซีดขาว ก็รู้สึกใจหาย
ก่อนหน้านี้ก็ลูกสะใภ้ ตอนนี้ก็ลูกชาย นี่จะเอาชีวิตคนแก่อย่างเขาใช่ไหม
ร่างยืนไม่อยู่ โน้มตัวไปข้างหลัง
“แม่” จิ้นเฟิงเหราเรียกแม่อย่างใจหาย
พ่อจิ้นพยุงร่างภรรยาไว้ ไปนั่งบนเก้าอี้ แทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง พูดเสียงเบา “อย่าคิดมาก ลูกต้องไม่เป็นไร”
สองวันผ่านไป จิ้นเฟิงเฉินก็ฟื้นขึ้นมา
มองดูคนรอบเตียง คำพูดแรกที่จิ้นเฟิงเฉินพูดคือ “สื้อสื้อละ หาสื้อสื้อเจอรึยัง?”
เห็นเขาตื่นมา คนตระกูลจิ้นรู้สึกดีใจกันมาก แต่พอได้ยินคำถามนี้ ทุกคนก็รีบเก็บรอยยิ้ม
“เฟิงเฉิน ลูกรักษาตัวให้หายก่อน” แม่จิ้นพูดปลอบด้วยอาการฝืนยิ้ม ในสายตามีความอ่อนล้า
เข้าใจแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็หลับตา
“ฝั่งหน่วยกู้ภัยยังหาคนไม่เจอเหรอ?” จิ้นเฟินเฉินถามอย่างอ่อนแรง
จิ้นเฟิงเฉินพูดเสียงเบา “อืม ยังไม่มีข่าว แต่ผมตัดสินใจเอง ให้หน่วยกู้ภัยกลับแล้ว”
ไม่ว่ายังไง ใช้ทรัพยากรประเทศแบบนี้ไปนานๆก็ไม่ค่อยดี
ได้ยินแล้วแววตาจิ้นเฟิงเฉินก็ไร้แวว แม้มปากหลับตา ไม่พูดอะไรสักคำ
“เฟิงเฉิน ลูกต้องปล่อยวาง สื้อสื้อไม่อยู่แล้ว พวกเราต้องปล่อยเธอไป หาที่เพื่อทำสุสานให้เธอที่ดีที่สุด ลูกอย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีกเลย”
แม่จิ้นพูดไปร้องไห้ไปจับมือจิ้นเฟิงเฉินไว้ หวังว่าเขาจะคิดได้ สภาพเขาแบบนี้มันช่างบาดใจเธอนัก
ได้ยินคำพูดของแม่จิ้น จิ้นเฟิงเฉินก็ดึงมือกลับ พูดเสียงเย็นชา “เธอยังไม่ตาย หาสุสานทำไม”
แม่จิ้นยังอยากพูดต่อ พ่อจิ้นส่งสายตาให้ บอกเธอไม่ต้องพูดแล้ว จากนั้นก็พาเธอออกจากห้องผู้ป่วย
หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ในห้องผู้ป่วยก็เงียบสงบ
ผ่านไปสักครู่ เห็นจิ้นเฟิงเฉินเริ่มปกติขึ้น จิ้นเฟิงเหราก็พูดขึ้น “พี่ พ่อกับแม่เป็นห่วงพี่ สองวันนี้ท่านทั้งสองก็เฝ้าพี่ตลอด พี่จะทำยังไงต่อ?”
“หาเจียงนวลนวลให้เจอ ไม่ว่าจะหาจนสุดขอบโลก ฉันก็ต้องลากตัวเธอมาให้ได้ เผาเป็นขี้เถ้า ตายทั้งเป็น” จิ้นเฟิงเฉินพูดด้วยเสียงโกรธแค้น