บทที่ 557 รู้สึกอย่างไรเมื่อถูกควบคุม
ฟันข้าวโพดขาวๆเล็กๆได้โผล่ออกมา เด็กน้อยยิ้มอย่างอ่อนหวาน อย่างกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ที่ทำให้ใจของคนละลายได้ในพริบตา
ประโยคปฏิเสธของจิ้นเฟิงเฉินยังคงอยู่ในลำคอ และก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
ในเวลานี้ เด็กน้อยมองตาโต จ้องจิ้นเฟิงเฉินตาปริบๆ โดยที่ไม่กลัวบรรยากาศของเขาแม้แต่น้อย
ขณะที่จิ้นเฟิงเฉินกำลังลังเลอยู่นั้น เด็กน้อยก็ยิ้มหวานให้จิ้นเฟิงเฉิน แล้วยื่นมือน้อยนุ่มๆออกมา ในปากก็งึมงำ: “แดดดี๊…..อุ้มๆ อุ้มหนูหน่อย…..”
เมื่อประโยคนี้เปล่งออกมาเท่านั้น ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างตะลึงอึ้งไปตามกัน
โดยเฉพาะเสี่ยวเป่า เบิกตาโตจ้องจิ้นเฟิงเฉิน ราวกับกำลังถามเขาว่าไปมีน้องอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่
จิ้นเฟิงเฉินมองเด็กน้อยคนนี้ แล้วรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้น่ารักแบบอธิบายไม่ถูก
หลายปีมานี้ นอกจากเสี่ยวเป่าแล้ว เขาก็ไม่เคยได้คลุกคลีกับเด็กคนอื่น ดังนั้นเมื่อเห็นเด็กน้อยคนนี้ ในใจก็รู้สึกต่อต้านขึ้นทันที
แต่ว่าเธอที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ คำพูดปฏิเสธที่อยู่ในลำคอ จิ้งเฟิงเฉินอย่างไรก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอรู้เพียงว่าเธอชอบชายหนุ่มคนนี้มาก
เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่อุ้มตัวเอง มื้อน้อยๆอ้วนๆของเด็กน้อยก็สะบัดมือไปมากลางอากาศ
น้ำตาซึมอยู่ในเบ้าตา ราวกับว่าเธอกำลังจะร้องไห้ในวินาทีถัดไป
ด้วยความจนปัญญา จิ้นเฟิงเฉินจึงได้อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาจากพื้น
เมื่อโจเซฟและพ่อบ้านเห็นภาพนี้ ก็พากันตกใจ
คิดไม่ถึงว่าเจ้านายผู้เย็นชา จะถูกปราบโดยเด็กน้อยคนนี้…..
เมื่อความปรารถนาของเด็กน้อยคนนี้สมหวัง เธอจึงหอมเข้าที่แก้มของจิ้นเฟิงเฉิน
น้ำลายจากมุมปากของเธอถูติดไปกับใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉิน จิ้นเฟิงเฉินถึงกับหน้ามืดทันที
แต่ว่าเด็กน้อยผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ กลับถูไปถูมาที่บนตัวของจิ้นเฟิงเฉิน แล้วยิ้มให้ยังไร้เดียงสา
จิ้นเฟิงเฉินแทบอยากจะโยนเด็กน้อยคนนี้ออกไป แต่เมื่อเห็นดวงตาของเด็กน้อยคนนี้แล้วก็ทำไม่ลง
ทำได้เพียงตามใจเธอ
เด็กน้อยที่ไม่มีความเกรงกลัวก็ยิ่งลามปาม ลูบใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉิน เกาะตรงโน้นทีจับตรงนั้นที โดยไม่เอะใจใดๆ
เมื่อเห็นท่าทางของเจ้านายตัวเองที่จนปัญญากับเด็กน้อยคนนี้ โจเซฟจึงทอดถอนใจพูด : “เมื่อสักครู่ระหว่างทางกลับบ้าน ผมอยากจะอุ้มเด็กน้อยคนนี้แทนคุณชายน้อย แต่ว่าเด็กน้อยคนนี้ทำอย่างไรก็ไม่ยอมให้ผมแตะตัวเธอ เธอสามารถให้ความสนิทสนมกับนายท่านได้ ช่างเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจจริงๆ
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆก็ทอดถอนใจพูด : “ใช่ครับ นานแล้วที่นายท่านไม่ได้คลุกคลีกับเด็กน้อยแบบนี้ อีกทั้งยังมีความอดทนเช่นนี้ ถ้าหากคุณหญิงยังอยู่……”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของพ่อบ้านก็เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
หลายปีมานี้ เขาอยู่ข้างกายจิ้นเฟิงเฉินมาโดยตลอด จึงเข้าใจอารมณ์ของเขาดีที่สุดจากการสังเกต
ถึงแม้ว่าสำหรับสายตาคนภายนอกจิ้นเฟิงเฉินจะเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจคนหนึ่ง แต่มีเพียงเขาที่รู้ว่าจิ้นเฟิงเฉินนั้นข้างในอ่อนแอบอบบางมาก
หลายๆคืนที่เขาเห็นจิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่บนโซฟา แล้วมองดูรูปเจียงสื้อสื้ออย่างเหม่อลอย
ที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่ตรงหน้า มักจะกองเต็มไปด้วยขี้บุหรี่
ในฐานะที่เป็นพ่อบ้าน นอกจากจัดเตรียมอาหารและเสื้อผ้าให้แล้ว ก็ไม่สามารถช่วยอะไรอย่างอื่นได้อีก
เห็นจิ้นเฟิงเฉินที่เจ็บปวดใจ ในใจของเขาก็ไม่สบายใจไปด้วยเช่นกัน
“แด๊ดดี้…..”
เวลานี้เด็กน้อยได้เรียกขึ้นอีกครั้ง จึงได้ดึงสติของพ่อบ้านกลับคืนมา
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินถูกมือน้อยๆของเด็กสาวน้อยประกบไว้
เห็นท่าทางที่จนปัญญาของจิ้นเฟิงเฉิน เสี่ยวเป่าถึงกับแอบยิ้มอยู่ข้างๆ
เป็นครั้งแรกจริงๆที่เห็นแดดดี๊ถึงกับไปไม่เป็น
“แดดดี๊ รู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อถูกคนอื่นควบคุม”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงพูดหาเหาใส่หัวขึ้น แล้วดวงตาน้อยๆก็กวาดตามองร่างจิ้นเฟิงเฉินกับเด็กน้อย
สามารถหาคนที่ปราบแดดดี๊ได้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กที่อายุเพียงสองขวบ
ได้ยินดังนั้น จิ้นเฟินเฉินจึงฟาดด้วยสายตา จนเสี่ยวเป่าต้องหลบไปอยู่ด้านหลังของพ่อบ้าน
จะปล่อยให้เด็กคนนี้กับจิ้นเฟิงเหราติดต่อกันบ่อยๆไม่ได้แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ดีจากจิ้นเฟิงเหรา จิ้นเฟิงเฉินคิดในใจ
เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดจู่ๆก็หยิกเข้าที่แก้มของจิ้นเฟิงเฉิน เจ็บนิดๆ จึงขมวดคิ้วขึ้น
ท่าทางการขมวดคิ้วของเขาทำให้เด็กน้อยตกใจ และมีทีท่าว่าจะร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นเด็กสาวน้อยเบะปากทำท่าจะร้องไห้ จิ้นเฟิงเฉินเห็นท่าไม่ดี จึงรีบปลอบประโลม : “โอ๋ๆไม่ร้องนะ ถ้าหนูดื้อ แดดดี๊จะไม่พาไปกินเค้กนะ”
เมื่อได้ยินคำว่าเค้ก เด็กน้อยก็รีบหยุดทันที
มือไม้โบกสะบัดพลางพูด: “ ไม่…..หนูจะไม่ดื้อ …..แดดดี๊อย่าโกรธนะ …..กินเค้ก……”
ถูกท่าทางของเธอสะกดจนความโกรธมลายสิ้น จิ้นเฟิงเฉินยิ้มแล้วลูบหัวของเด็กน้อย
“ปะไปกินเค้กกัน”
เมื่อพูดจบจิ้นเฟิงเฉินก็พาเด็กสาวน้อยไปที่ห้องทำขนม
เห็นจิ้นเฟิงเฉินอ่อนโยนเพียงนี้ คนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างตะลึงไปตามๆกัน
เดิมทีเห็นเขาสามารถปฏิบัติต่อเด็กน้อยอย่างใจเย็นนั้นคิดว่าสุดยอดแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะมีความอดทนตอบสนองความต้องการของเธอด้วย
โดยเฉพาะเสี่ยวเป่า ที่รู้สึกว่าแดดดี๊อย่างกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
นี่ถ้าหากว่าเป็นเด็กน้อยของครอบครัวอื่น คงต่อสู้กันเพื่อแย่งความรักแล้ว
แต่สำหรับเสี่ยวเป่า เขาชอบเด็กน้อยคนนี้มาก แล้วก็เห็นเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของตัวเอง
สามปีมานี้ จิ้นเฟิงเฉินเข้มงวดกับเสี่ยวเป่ามาก เสี่ยวเป่าก็รู้ดีว่าแดดดี๊หวังดีต่อเขา เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยตำหนิติโทษ
เพียงแต่เมื่อเห็นแดดดี๊เป็นแบบนี้ ถึงได้รู้ว่าในใจของแดดดี๊ที่จริงนั้นก็อ่อนโยนเช่นกัน
จึงให้สัญญาเงียบๆอยู่ในใจ ว่าจะต้องเติบโตให้โดยเร็วที่สุด
แบบนี้แล้วจะได้ช่วยแดดดี๊แบ่งเบาภาระได้บ้าง
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเด็กน้อยถึงห้องทำขนม ดวงตาก็ไม่อาจละไปจากที่นี่ได้
เค้กของที่นี่ช่างประณีตสวยงาม ดูแล้วน่าทานมาก มุมปากของเด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
เมื่อเห็นท่าทางที่อยากทานของเธอ จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จึงยื่นมือไปหยิบเค้กมาวางลงบนจาน
จากนั้นพูดอย่างอ่อนโยน : “อยากเอาอะไรเพิ่มอีกจ๊ะ จะเอาให้หนูหมดเลย”
เด็กน้อยเห็นเค้กที่วางอยู่บนจานแล้วก็ส่ายหัวขึ้น
มือเล็กๆอ้วนๆหยิบเค้กเข้าไปในปาก แล้วก็ทำเสียงพึงพอใจออกมา
เมื่อเห็นเด็กน้อยเคี้ยวอยู่ในปาก จิ้นเฟิงเฉินก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วก็ช่วยเธอเช็ดปากเบาๆ
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกมาจากห้องทำขนม แล้วก็เดินกลับมาที่ห้องโถง ห้องทำขนมห้องนี้เป็นของขวัญที่จิ้นเฟิงเฉินมอบให้กับเสี่ยวเป่า ตอนนั้นเพิ่งจะมาถึงประเทศฝรั่งเศส ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้เสี่ยวเป่ารู้สึกหดหู่
ในแต่ละวันไม่พูดไม่จา จิ้นเฟิงเฉินจึงกระวนกระวาย กลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนเก็บตัวอีกครั้งเหมือนตอนเล็กๆ
ต่อมาเมื่อได้ยินคนแนะนำว่า เค้กสามารถเยียวยาจิตใจของเด็กๆได้ จิ้นเฟิงเฉินจึงได้สร้างห้องทำขนมไว้ใน คฤหาสน์
เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นห้องทำขนมที่ตกแต่งสวยงามเสร็จสรรพเรียบร้อย ดวงตาก็เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น และรับรู้ถึงความตั้งใจของจิ้นเฟิงเฉิน
นับตั้งแต่นั้นมา เสี่ยวเป่าก็กลายเป็นคนร่าเริงและกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนปกติ