ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 608 อย่าแยกพวกเขาออกจากกัน

บทที่ 608 อย่าแยกพวกเขาออกจากกัน

บทที่ 608 อย่าแยกพวกเขาออกจากกัน

ในวันต่อมา แม่ฝู้ตื่นแต่เช้าตรู่ เธอไม่ได้บอกกับใครแล้วแอบมายังอาคารjs

หลังจากยืนรออยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานาน ในที่สุดเธอก็มองเห็นรถโรลส์รอยซ์ที่เพิ่งเข้ามาจอด

มีชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาก้าวลงมาจากรถ

ท่ามกลางวงล้อมของผู้คน เขากลายเป็นเป้าสายตาไปในทันใด

ที่หน้าประตูมีคนเข้ามาทักทายเขาแล้วเรียกเขาว่าท่านประธานก่อนจะช่วยเขาเอารถไปจอด

มองไปแล้วผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่ลูกชายเคยพูดถึง

ดังนั้นแม่ฝู้จึงได้เดินเข้าไปแล้วยื่นมือไปขัดขวางจิ้นเฟิงเฉินเอาไว้

“คุณจิ้นใช่ไหมคะ? ฉันเป็นแม่ของฝู้จิงเหวิน พวกเราคุยกันหน่อยได้ไหม?”

จิ้นเฟิงเฉินมองไปยังหญิงชาวฝรั่งเศสที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความงงงวย

เธอสามารถพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ฝู้จิงเหวิน สามคำนี้ทำให้แววตาของเขาเปลี่ยนไปในทันที

เมื่อลูกน้องของเขาเห็นว่ามีคนเข้ามาขวาง ก็ตั้งใจจะพาตัวแม่ฝู้เดินออกไป แต่กลับถูกจิ้นเฟิงเฉินห้ามเอาไว้

เขามองไปยังใบหน้าของแม่ฝู้ พบว่าคล้ายคลึงกับฝู้จิงเหวินอยู่บ้างจึงได้พยักหน้าแล้วพูดว่า

“เชิญตามผมมาครับ”

เมื่อพูดจบก็พาเธอเดินเข้าไปด้านในอาคาร

หลังจากเข้าไปในห้องทำงานแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็วางของในมือลงและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า

“รับอะไรดีครับ ชาหรือว่ากาแฟ?”

แม่ฝู้มองไปรอบๆแล้วปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันพูดจบก็จะไปแล้ว”

“ไปชงชามา”

หลังจากกำชับลูกน้องเรียบร้อยแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็หันมามองทางแม่ฝู้

เมื่อเห็นความสุภาพในการต้อนรับแขกของจิ้นเฟิงเฉินแล้ว ภายในใจของแม่ฝู้ก็ไม่สามารถหาข้อตำหนิเขาได้เลย

กู้เนี่ยนนำชาเข้ามาเสิร์ฟจากนั้นก็จะออกไปอย่างรู้หน้าที่

จิ้นเฟิงเฉินรินชาใส่แก้วแล้วส่งให้แม่จิ้นก่อนจะเอ่ยถามอย่างใจเย็นว่า “ไม่ทราบว่าคุณอยากพูดอะไร?”

เมื่อเห็นว่าเขาเอ่ยปากพูดมาก่อน แม่ฝู้ก็ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณจิ้นคะ ฉันอยากให้คุณอยู่ห่างจากลูกสะใภ้และลูกชายของฉันหน่อย ฉันรู้ดีว่าคุณและสื้อสื้ออาจจะเคยมีอดีตร่วมกันมา แต่นั่นมันก็ผ่านไปแล้วตอนนี้เธอจำพวกคุณไม่ได้ มีประโยชน์อะไรที่จะเข้ามาทำลายชีวิตของพวกเราคะ”

แม่ฝู้กัดฟันแล้วระบายความคิดในใจของเธอออกมา

คำพูดเหล่านี้ลอยเข้าไปในหูของเขา มันช่างคุณเคยมากจริงๆ

ใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินแสดงถึงความไม่แยแส สองแม่ลูกคู่นี้พูดจาเหมือนกันเหลือเกิน

“พวกคุณเข้ามาบอกว่าให้ผมออกไป แล้วทำไมผมต้องทำตามที่พวกคุณต้องการ?”

ความเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ดวงตาของจิ้นเฟิงเฉินช่างเฉียบคม

แววตาของเขาเหมือนมีเมฆหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่ว น้ำเสียงของเขามืดมนแต่ก็คมชัด

แม่ฝู้ตกใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขา สีหน้าดูไม่น่ามองนัก

แต่เธอก็พูดขึ้นเสียงแข็งว่า “เพราะว่าลูกชายของฉันอยู่กับสื้อสื้อมาถึงสามปีแล้ว ชีวิตของเธอถูกฝู้จิงเหวินช่วยเอาไว้ และฝู้จิงเหวินก็อยู่เป็นเพื่อนเธอมาถึงสามปี

หากไม่ได้เป็นเพราะพวกเรา เธออาจจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้ ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่สื้อสื้อจะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง คุณอย่ามารบกวนชีวิตอันสงบสุขของพวกเราเลย และไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะแยกพวกเขาออกจากกัน”

ในฐานะแม่คนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอต้องเข้าข้างลูกชาย อยากให้เจียงสื้อสื้ออยู่ข้างลูกชายของเธอตลอดไป

จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะอย่างเยือกเย็น ดวงตาของเขาลึกซึ้ง

ผ่านไปสักพักก่อนที่เขาจะเอ่ยปากขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“เหอะ ตระกูลฝู้อยู่เป็นเพื่อนเธอแค่สามปีเท่านั้น แต่ชีวิตของเธอก่อนหน้านี้เธอใช้มันมากับผม! คุณพูดออกมาเองว่าให้ผมสงสารพวกเขา แล้วใครล่ะจะมาสงสารผม?

สามปีมานี้ ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นท่า มีใครรู้บ้างไหม? การหายตัวไปของเธอทำให้ผมทุกข์ทรมานอยู่ถึงสามปี ความเจ็บปวดจากการที่ภรรยาและลูกต้องแยกออกจากกัน พวกคุณเข้าใจมันเหรอ?”

น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินนั้นทำให้คนฟังรู้สึกปวดใจ มองจากท่าทางของเขาแล้วพอจะรู้ว่าสามปีที่ผ่านมาเขามีสภาพอย่างไร

จิ้นเฟิงเฉินหยุดชะงักลงหลังจากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ใช่ครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่พวกคุณช่วยเธอเอาไว้และบุญคุณนี้ผมจะตอบแทนมันด้วยชีวิต

แต่ผมไม่สามารถให้เธอกับพวกคุณได้ เนื่องจากเธอนั้นสำคัญกว่าชีวิตของผม! ผมจะไม่วางมือลงอย่างแน่นอน เชิญคุณกลับไปเถอะ กู้เนี่ยน ส่งแขก!”

“นี่คุณ!”

เมื่อแม่ฝู้ได้ยินจิ้นเฟิงเฉินพูดว่าส่งแขก สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด

คำพูดของเขานั้นไร้ที่ติ ทำให้แม่ฝู้ไม่อาจพูดอะไรโต้เถียงได้เลย

ในที่สุดจึงทำได้เพียงสะบัดมือแล้วเดินจากไป

แม้จะถูกพาตัวออกมาจากJsกรุ๊ป แต่ความโกรธในใจของแม่ฝู้ไม่อาจจะสลายไปได้เลย

เมื่อกลับมาถึงบ้านเธอก็ดูท่าทางเป็นกังวล

พ่อฝู้เห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

แม่ฝู้นั่งลงบนโซฟาด้วยความโมโหแล้วเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เธอเจอมาเมื่อสักครู่ เธอบ่นกับพ่อฝู้ว่า “จิ้นเฟิงเฉินนี่ช่างเป็นคนหยาบคายเสียจริงๆ เป็นถึงผู้บริหารของบริษัทใหญ่โตแต่ทำกับแขกแบบนี้เหรอ? มันน่าโมโหมากจริงๆ!”

แม่ฝู้พูดออกมาด้วยความไม่พอใจและหันไปขอความสนับสนุนจากพ่อฝู้ว่า

“คุณว่าฉันพูดถูกไหมคะ?”

พ่อฝู้ได้ยินดังนั้นก็วางนิตยสารลงแล้วกระแอมออกมา

เขาขมวดคิ้วอยู่สักพักก่อนจะตบลงบนมือของแม่ฝู้พูดว่า “คุณจะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ คุณไปหาเรื่องเขาที่บริษัทเอง

เขาจะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด อีกอย่างก่อนหน้านี้จิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อเป็นสามีภรรยากัน เรื่องของความรู้สึกพวกเขาพวกเราเป็นแค่คนนอก ทำอะไรไม่ได้หรอก ผมว่านะเรื่องนี้ปล่อยให้เด็กๆจัดการกันเองแล้วกัน”

พ่อฝู้มีสติสัมปชัญญะมากกว่า เขาไม่ได้เข้าข้างครอบครัวใครเนื่องจากไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะต้องแข็งกระด้างไปมากกว่านี้

เมื่อถึงเวลา ก็ไม่มีข้อดีกับตระกูลฝู้ของพวกเขาเอง

หลังจากที่แม่ฝู้ได้ยินพ่อฝู้พูดดังนั้น สีหน้าของเธอก็ยิ่งไม่น่ามอง

เธอสะบัดมือพ่อฝู้แล้วลุกขึ้นนำหมอนโยนไปที่พ่อฝู้อย่างรุนแรง

ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “คุณไม่สนแต่ฉันสน! ถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ได้ทำความร่วมมือกับบริษัทของจิ้นเฟิงเฉินละก็คุณจะช่วยเขาพูดออกหน้าแทนอย่างนี้ไหม? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุขของลูกจะให้ฉันไม่สนใจคงทำไม่ได้หรอก!”

เมื่อพูดจบเธอก็เดินขึ้นไปชั้นบนด้วยความโมโห

พ่อฝู้มองไปที่ภรรยาของเขาแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

เพียงหวังว่าเธอจะไม่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้

ด้านหนึ่งในบริษัท เจียงสื้อสื้อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลฝู้

ขณะนี้เธอก้มหน้าลงแล้ว มองดูเอกสารเหล่านั้น

สายลมพัดมาเบาๆทำให้ผมที่หน้าผากของเธอปลิว

แสงแดดส่องกระทบมายังผิวอันบอบบางของเธอ ทำให้ผิวที่เดิมทีก็ขาวผ่องของเธอนั้นเป็นประกาย

โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้น เธอจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นข้อความของเสี่ยวเป่า

มุมปากของเธอเผยอยิ้มขึ้น

“หม่ามี๊ ออกมาหน่อยได้ไหมครับ ผมมีเรื่องอยากจะเจอหม่ามี๊!”

นิ้วมือของเธอปัดลงไปบนหน้าจอแล้วพิมพ์กลับไปว่า

“ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ?”

หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็ส่งตำแหน่งของเขามา ตำแหน่งที่เขาอยู่ไม่ไกลจากบริษัทของเธอนัก

เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะทำหน้าประหลาดใจจากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือวิ่งออกไปด้านนอก

ระยะห่างออกไปมองเห็นรถธุรกิจสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ โดยมีเสี่ยวเป่ายืนเตะก้อนหินอยู่ข้างๆ เมื่อมองเห็นเธอ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้ววิ่งตรงเข้ามา

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท