บทที่ 722 หลอกใช้
ในคืนนั้นเอง ฝู้จิงเหวินเดินถือถ้วยเก็บความร้อนไว้ในมือ เขาหวังว่าจะไปเยี่ยมเจียงสื้อสื้อสักหน่อย
ในถ้วยนั้นคือซุปรากบัวกระดูกซี่โครงที่วันนี้ทั้งวันเขาให้แม่บ้านสอน และนี่เป็นถ้วยที่เขานับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด
เมื่อเดินมาถึงห้องผู้ป่วย เขายังไม่ทันได้สังเกตเห็นพยาบาลคนหนึ่งที่จับจ้องพฤติกรรมของเขาอยู่ในมุมมืด
หลังจากผลักประตูเข้าไปกลับพบว่าบนเตียงนั้นว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ร่องรอยของเจียงสื้อสื้อ
เขารออยู่สักพักและไม่มีทีท่าว่าเจียงสื้อสื้อจะกลับมา
ความรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างลอยเข้ามาในสมองของเขา แต่ในไม่ช้าเขาก็ทำให้มันสงบลงได้
เขารีบวิ่งไปยังห้องกล้องวงจรปิดและขอให้เจ้าหน้าที่เปิดดูกล้องวงจรปิดที่จับภาพหน้าห้องผู้ป่วยเอาไว้
ฝู้จิงเหวินโน้มตัวลงมา มือทั้งสองข้างของเขาเท้าอยู่บนโต๊ะ และตั้งใจมองไปยังภาพอย่างใจจดใจจ่อ
จนกระทั่งปรากฏภาพเธอเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย หัวใจของเขาแทบตกลงไปที่ตาตุ่ม
หรือว่าเธอจะถือโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่นี่ออกไปข้างนอกกัน?
การคาดเดาของเขาเป็นจริงในไม่ช้า เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจียงสื้อสื้อจะไม่แม้แต่โทรศัพท์บอกเขาสักคำว่าเธอไปไหน
เขาก้มหน้าลง และพยายามปิดบังความรู้สึกเสียใจนั้นเอาไว้
จนกระทั่งภาพในกล้องวงจรปิดมองเห็นเจียงสื้อสื้อเดินออกจากประตูโรงพยาบาลไป ฝู้จิงเหวินจึงได้ยืดตัวขึ้นและเอ่ยขอบคุณอย่างมีมารยาทก่อนจะเดินจากมา
เขาเดินเหม่อลอยไปจนกระทั่งถึงลิฟต์ แม้แต่ข้างหลังของเขามีพยาบาลคนหนึ่งเดินตามมาเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว
พยาบาลคนนั้นเดินตามเขากลับมายังห้องผู้ป่วยที่ไม่มีใครอยู่สักคน เธอยืนอยู่ด้านนอกและมองเข้าไปด้านในผ่านกระจกตรงประตู
แววตาของเธอมืดมนช่างน่ากลัว เมื่อมองไปเห็นร่างที่เสมือนไร้วิญญาณของเขาแล้ว เธอก็เผยอยิ้มขึ้นตรงมุมปาก
ฝู้จิงเหวินไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่เขาทำดีกับเจียงสื้อสื้อขนาดนี้ แต่ในใจของเธอก็ยังไม่มีที่สำหรับเขาแม้แต่นิดเดียว
สามปีมานี้ เขาปฏิบัติต่อเธอแบบจริงใจตลอดเวลา
แต่เธอไม่รู้ว่าแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ เธอมักเมินเฉยต่อการบอกรักของเขาอยู่เสมอ จิ้นเฟิงเฉินเก่งมากจริงๆอย่างนั้นหรือ?
ในใจของเธอนั้น เขาเป็นคนดีมากอย่างนั้นเหรอ?
เขารู้ตัวว่าตนเองไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุด แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถเพียงพอที่จะคู่กับเธอได้
อีกทั้งเขายังเป็นคนที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้
ต่อให้เธอไม่ชอบเขา และตอนนี้ในหัวใจเธอไม่มีเขา แต่เขาก็ไม่รังเกียจที่จะค่อยๆปลูกฝังความรู้สึกไปด้วยกัน เขาสามารถให้เวลาเธอได้มากตามที่เธอต้องการ
แต่ว่า…… ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแพ้ตั้งแต่จุดเริ่ม
ดวงตาคู่นั้นจ้องไปยังเตียงผู้ป่วย ราวกับว่ามีคนนอนอยู่บนนั้น
บุหรี่ที่อยู่ตรงปลายนิ้วค่อยๆเผาไหม้และมีควันลอยฟุ้ง เขาดูดมันเข้าไปอย่างหนักเป็นบางโอกาส จากนั้นก็ค่อยๆ พ่นควันออกมา
เนื่องจากเขาหันหลังให้กับพยาบาลคนนั้น เธอจึงมองไม่เห็นถึงสีหน้าอารมณ์ของฝู้จิงเหวิน
แต่ดูจากแผ่นหลังก็สามารถเดาได้ว่าตอนนี้อารมณ์เขาไม่ดีแน่
ฝู้จิงเหวินมองไปยังถ้วยเก็บความร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และกดเบอร์มือถือลงไป
ท่าทางของเขาช่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเบอร์โทรนั้นเขาจำได้ขึ้นใจ
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดเขาก็กดปุ่มโทรออก
โทรศัพท์อีกฝ่ายหนึ่งดังขึ้น จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตามองดูโทรศัพท์มือถือที่กำลังส่องสว่างอยู่บนหัวเตียง เป็นโทรศัพท์ของเจียงสื้อสื้อ
เขาไม่ได้แม้แต่จะคิด รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดรับ
เบอร์โทรศัพท์นี้ไม่ได้ทำการบันทึกเอาไว้ เป็นเพียงตัวเลขแปลกหน้า
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา เขาได้ทักทายก่อนว่า “สวัสดีครับ?”
ฝู้จิงเหวินที่อยู่ในโรงพยาบาล เมื่อเขาได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น
รออยู่นั่นนานทีเดียวเมื่อเห็นว่าผู้ที่โทรมาไม่ยอมพูดอะไร จิ้นเฟิงเฉินจึงไม่อยากจะอดทนอีกต่อไป
ในขณะที่เขากำลังจะวางสายลง ฝู้จิงเหวินก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“สื้อสื้อล่ะ คุณลักพาตัวเธอไปหรือไง?”
เพียงประโยคสั้นๆง่ายๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดใจ
เมื่อได้ยินเสียงนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้นทันใด
เขาเผยอริมฝีปากขึ้น แววตาบ่งบอกถึงความไม่แยแส น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ทำไมเหรอ? คุณคอยจับตาดูเธอตลอด 24 ชั่วโมงเลยหรือไง? อย่าคิดว่าคุณเป็นคนช่วยเธอเอาไว้แล้วเธอก็จะต้องอุทิศกายให้ ผมคิดว่าเธอคงอยากจะมีเวลาเป็นการส่วนตัวอยู่บ้าง
เธอจะไปไหนไม่จำเป็นต้องรายงานให้คุณรู้ ผมต้องขอบคุณที่เมื่อสามปีก่อนคุณช่วยเธอเอาไว้ แต่ผมก็อยากจะให้คุณเข้าใจว่าคุณเป็นเพียงผู้มีพระคุณของเธอแต่ไม่ใช่ผู้ปกครอง คุณไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องกักขังเธอเอาไว้ข้างกายเนื่องจากเธอเป็นภรรยาของผม!”
เธอเป็นภรรยาของผม!
ฝู้จิงเหวินรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่า หัวใจด้านซ้ายอันอ่อนโยนของเขาเหมือนถูกแทงเข้ามาอย่างจัง
เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามได้วางสายไปเสียแล้ว
มือข้างที่ถือโทรศัพท์เอาไว้หล่นลงไปอย่างไม่มีเรี่ยวแรง โทรศัพท์มือถือร่วงสู่พื้นเสียงดัง “ปึง!”
จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูมืดมนลง แววตาช่างดูเยือกเย็น
มือทั้งสองข้างกำแน่นและต่อยไปที่กำแพงสีขาวบริสุทธิ์ เลือดสีแดงสดตัดกับสีกำแพงฉูดฉาด
เลือดสีแดงนั้นไหลลงมาจากมือของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดและยังต่อยมันซ้ำๆ
สายตาของเขานั้นโมโหเสียจนทำให้คนที่พบเห็นต้องตัวสั่น ปากก็พึมพำไปว่า “จิ้นเฟิงเฉิน เธอเป็นของฉัน! เธอเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าใครก็อย่าคิดมาแย่งเธอไป!”
เขาทำพฤติกรรมบ้าคลั่งอย่างนี้อยู่ประมาณ 10 นาที ในที่สุดฝู้จิงเหวินก็เริ่มสงบสติลงได้
อาจเป็นเพราะเขาได้ระบายออกมาจนหมดแล้ว เส้นเลือดฝาดบนหน้าของฝู้จิงเหวินเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเดินทำหน้านิ่งออกมาจากห้องผู้ป่วย
หลังจากที่ร่างกายอันกำยำของฝู้จิงเหวินหายไปจากทางเดินแล้ว พยาบาลคนนั้นก็ได้เดินออกมาอย่างช้าๆ
สายตาของเธอช่างเยือกเย็นและไร้ความรู้สึก ปากของเธอไปเผยอขึ้นเล็กน้อย
เธอมองไปยังซุปรากบัวที่วางอยู่ในห้อง และมองไปยังปลายทางของทางเดินนี้
ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ปลายนิ้วของเธอจดจ่ออยู่ที่ชื่อเจ้านาย และกดโทรออกไปโดยไม่ลังเล
ในไม่ช้าโทรศัพท์ก็ถูกรับสายคืน แม้ว่าอีกฝั่งหนึ่งยังไม่ได้พูดอะไรออกมา พยาบาลสาวคนนั้นรู้ดีว่าเขากำลังรอให้ตนรายงาน
“เจ้านายคะ เป็นไปอย่างที่จื่อเฟิงพูด ความรักที่ฝู้จิงเหวินมีให้กับเจียงสื้อสื้อนั้นมากเกินกว่าที่พวกเราคาดเดาเอาไว้ คนคนนี้พวกเราใช้ประโยชน์จากเขาได้”
ใช้ประโยชน์จากความรักที่เขามีต่อเจียงสื้อสื้อ มาจัดการจิ้นเฟิงเฉิน
เมื่อพูดจบเธอก็หยุดลงและรอให้เจ้านายกำชับคำสั่งออกมา
“ดีมาก!”
ผู้ชายในสายหัวเราะขึ้นและพูดออกมาเพียงแค่สองคำ เรียบง่ายแต่ทำให้คนฟังรู้สึกมีแรงกดดัน
พยาบาลคนนั้นยืนนิ่งอยู่กับที่และฟังเสียงของชายที่อยู่ปลายสายว่า
“เรื่องนี้ผมมอบให้คุณรับผิดชอบแล้วกัน ส่วนจะทำอย่างไรนั้นผมไม่ต้องสอนคุณใช่ไหม?”
“ไม่ต้องค่ะ”
พยาบาลสาวรีบตอบรับทันควัน น้ำเสียงของเธอดูเยือกเย็นเล็กน้อย ไม่ได้มีอารมณ์โกรธแต่อย่างใด ราวกับหัวใจของคนอันเยือกเย็นในฤดูหนาวที่ไร้ความรู้สึก
ร่างอันสูงสง่าของชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องทำงานอันหรูหรา เขากำลังพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
หลังจากฟังรายงานของเธอเรียบร้อยแล้วเขาก็ค่อยๆยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นช่างน่ากลัว และทำให้คนต้องตัวสั่น
น้ำเสียงอันเยือกเย็นของเขาแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งแรงกดดันและอำนาจ “ถ้านังผู้หญิงคนนั้นมีผลกระทบต่อจิ้นเฟิงเฉินจริงๆละก็ คุณรีบไปจัดการเธอให้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วสิ่งที่คุณต้องการได้ผมจะไม่ให้ขาดแม้แต่นิดเดียว”
เมื่อชายหนุ่มพูดจบ สายตาอันลึกล้ำของเขาก็จ้องมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์
มันเป็นเอกสารที่ผู้ช่วยของเขาส่งมาให้ นิ้วมือเรียวงามเคาะไปที่แป้นพิมพ์
“ทำตามที่ผมบอกเมื่อสักครู่ อีกอย่างจงหาโอกาสให้ดีในการลงมือ อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรได้ ถ้ามีเรื่องด่วนให้รีบรายงานผมทันที”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นชาราวกับตกอยู่ในขุมนรก
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หญิงสาวยิ้มขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนต้องรู้สึกถึงความเยือกเย็น