เจียงสื้อสื้อทานเค้กอยู่กับลูกๆ ทั้งสองเสร็จแล้วจึงไปที่สถาบันวิจัย
เธอต้องให้โม่เหยียและหานยู่ช่วยตรวจดูว่าเธอเป็นอะไรกันแน่
ใครจะรู้ว่าพอไปก็ใช้เวลาเป็นวัน กลางคืนกลับมาจิ้นเฟิงเฉินไม่เห็นเธอ ถามคนที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน
“สื้อสื้อบอกแค่ว่าเธอมีธุระต้องออกไปข้างนอก ไปที่ไหนนี่แม่ก็ไม่ได้ถาม”
เห็นท่าทางร้อนใจของลูกชาย แม่จิ้นก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ จึงรีบถาม “สื้อสื้อเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ หว่านล้อมให้แม่กลับห้องแล้วเขาจึงรีบโทรหาสื้อสื้อ
ไม่นานก็รับสาย
“คุณชาย”
ไม่ใช่เสียงของสื้อสื้อ แต่เป็นหานยู่
หมายความว่าสื้อสื้ออยู่ที่สถาบันวิจัย
จิ้นเฟิงเฉินคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้น “สื้อสื้อเป็นอะไร”
“คุณผู้หญิงเป็นลมค่ะ”
สีหน้าจิ้นเฟิงเฉินพลันเปลี่ยน รีบวิ่งออกไป
แม่จิ้นเห็นเขาวิ่งลงมาด้วยท่าทางตื่นตระหนก จึงถามอย่างแปลกใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เฟิงเฉิน”
จิ้นเฟิงเฉินราวกับไม่ได้ยิน ไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น”
พ่อจิ้นเดินมาจากสวนด้านหลัง เห็นท่าทางเป็นกังวลของแม่จิ้นจึงมองตามและเอ่ยถาม
“เฟิงเฉินวิ่งรีบร้อนออกไป ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
แม่จิ้นรู้สึกถึงความไม่ปกติ เธอนิ่งคิด “คุณว่า…สื้อสื้อจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“คุณคิดอะไรกัน สื้อสื้อจะเป็นอะไรได้ยังไง กังวลไปเรื่อย”
พ่อจิ้นส่งสายตาไม่พอใจให้ จากนั้นเดินเข้าไปยังห้องรับแขก
“ฉันจะกังวลไปเรื่อยได้ยังไง” แม่จิ้นเดินตามไป “หลายวันมานี้ใจไม่ดีเลย เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้”
“เพราะคุณว่างแบบนี้ไง”
พ่อจิ้นนั่งลง ยกชาที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้ขึ้นดื่ม จากนั้นหันไปหาภรรยา “ต่อไปก็มาปลูกดอกไม้กลับผม คุณก็จะไม่ต้องกังวลไปเรื่อยอีก”
“งั้นเหรอ” แม่จิ้นลองคิดดู ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ปกติอยู่ดี “ไม่ได้ ฉันจะโทรไปถามเฟิงเฉินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
จิ้นเฟิงเฉินรีบตรงไปยังห้องทดลอง โทรศัพท์ที่วางอยู่เบาะข้างๆ ก็ดังขึ้น เขาทำราวกับไม่ได้ยิน ดวงตาจับจ้องตรงไปยังถนนด้านหน้า
“ไม่รับ” แม่จิ้นกำโทรศัพท์แน่น ขมวดคิ้วมุ่น มองพ่อจิ้นด้วยท่าทางทุกข์ใจ
อีกคนวางหนังสือพิมพ์ลง ถอนหายใจออกมา “คุณบอกว่าเฟิงเฉินวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนไม่ใช่เหรอ คงจะมีเรื่องด่วน ตอนนี้กำลังขับรถอยู่ จะรับโทรศัพท์ได้ยังไง”
แม่จิ้นคิดดูแล้วก็ถูก “งั้นรออีกสักพักค่อยโทร”
เสียงเบรกรถดังขึ้น
รถหยุดลงที่หน้าสถาบันวิจัย จิ้นเฟิงเฉินพุ่งเข้าไปด้านในทันที
“คุณชาย”
เมื่อหานยู่มองเห็นเขา ก็รีบลุกขึ้น
“สื้อสื้อล่ะ”
“อยู่ด้านในค่ะ” หานยู่มองไปที่ห้องข้างๆ
ยังพูดไม่ทันจบ จิ้นเฟิงเฉินก็พุ่งเข้าไปทันที
โม่เหยียกำลังดูตัวบ่งชี้ในจอภาพ ประตูพลันถูกเปิดออกกะทันหันจนเขาตกใจ
เมื่อหันกลับไปเห็นว่าเป็นจิ้นเฟิงเฉิน
“คุณชาย คุณมาแล้ว”
โม่เหยียมองจิ้นเฟิงเฉินที่สาวเท้าเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง แม้เขาจะหันหลังให้ตัวเอง ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่กระจายออกมา
หานยู่เดินเข้ามา
ทั้งสองมองสบตากัน สัมผัสได้ถึงความว้าวุ่นของกันและกัน
เจียงสื้อสื้อนอนอยู่บนเตียง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดแน่น ใบหน้าสวยไร้สีเลือด ซีดเซียวจนน่าตกใจ
เห็นเจียงสื้อสื้อในสภาพนี้ จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกราวกับมีคนยื่นมีมาบีบหัวใจเขาแน่น เขากำหมัดแน่น สูดหายใจเข้าลึก หมุนตัวกลับมา
สายตาเยือกเย็นแหลมคมมองไปยังโม่เหยียและหานยู่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
โม่เหยียมองสบตากันกับหานยู่ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงบอกความจริง “อาการของคุณผู้หญิงกำเริบขึ้นอีกครั้งในช่วงที่คุณไปต่างประเทศ สภาพร่างกายย่ำแย่”
แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ยังไม่อาจจะรับได้
เมื่อคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ตนเองไม่อยู่ เธอต้องทนทุกทรมานอยู่คนเดียว หัวใจเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา และสิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้ยิ่งกว่านั้นก็คือ โม่เหยียและหานยู่ปกปิดเรื่องนี้กับเขา
“ทำไมถึงไม่บอกฉัน” จิ้นเฟิงเฉินถามอย่างโมโห
“เอ่อ…”
โม่เหยียและหานยู่ไม่รู้จะตอบยังไง
จิ้นเฟิงเฉินโกรธทว่าหัวเราะ “พวกคุณสองคนนี่จริงๆ เลย เรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่บอกฉันอีก เกิดสื้อสื้อเป็นอะไรขึ้นมา พวกคุณรับผิดชอบไหวเหรอ”
ประโยคสุดท้ายนั้นเขาตะโกนออกมา
ไม่เคยเห็นเขาเสียการควบคุมขนาดนี้มาก่อน โม่เหยียและหานยู่ต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณชาย ความจริง…ความจริงคุณผู้หญิงไม่ให้เราบอกกับคุณ”
แม้จะกลัว หานยู่ก็ยังคงพยายามอธิบาย
สื้อสื้อเหรอ
จิ้นเฟิงเฉินชะงัก จากนั้นหันกลับไปหาสื้อสื้อ สองมือข้างกายกำแน่น
ใช่ เขาควรจะรู้ตั้งนานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอฝืนความทรมานของตัวเอง แต่จะไม่ยอมให้เขาต้องเป็นห่วงเธอตอนอยู่ต่างประเทศ
แต่ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ เขายิ่งทรมาน ยิ่งเจ็บปวด
“คุณชาย…”
โม่เหยียอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าถูกจิ้นเฟิงเฉินขัดขึ้นมา “พวกคุณออกไป”
โม่เหยียและหานยู่สบตากัน เดินออกไป
ในห้องพลันเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงเครื่องอุปกรณ์ทำงาน
จิ้นเฟิงเฉินกุมมือเย็นเหยียบของสื้อสื้อเอาไว้ในมือ หลับตาลงช้าๆ ปกปิดความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดของตัวเอง
เขาเสียใจ
เขาไม่ควรไปต่างประเทศ ไม่ควรปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว
เขาไม่อยากคิดเลยว่าตลอดหลายวันมานี้ช่วงที่อาการกำเริบ เธอผ่านมันมาได้ยังไง
เพียงนึกถึงยามที่เธอเจ็บปวด หัวใจของเขารู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มแทง แทงลึกลงไปถึงกระดูก
“สื้อสื้อ…” เขาเอ่ยเสียงเบา
มือเล็กที่เขากุมเอาไว้พลันขยับ
เขารีบลืมตา เห็นเพียงหัวคิ้วของสื้อสื้อที่ขมวดมุ่น ขนตาของเธอสั่นเล็กน้อย
“อืม…”
เจียงสื้อสื้อส่งเสียงครางออกมา ค่อยๆ ลืมตา ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองฝันยาวนาน เหนื่อยมาก เหนื่อยจนไม่อยากขยับแม้เพียงปลายนิ้ว
เห็นเธอฟื้นขึ้นมา ความยินดีก็ปรากฏบนใบหน้า เรียกเสียงเบา “สื้อสื้อ”
เมื่อได้ยินเสียง เจียงสื้อสื้อจึงรีบหันมา เมื่อมองเห็นเขา ใบหน้าซีดเซียวพลันมีรอยยิ้มสดใสขึ้นมา
“เฟิงเฉิน คุณกลับมาแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอ่อนโยน “อืม ผมกลับมาแล้ว”
เจียงสื้อสื้อยังอยากพูดอะไรอีก พลันนึกถึงสถานการณ์ของตัวเองขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหายไป เธอคิดแล้วจึงบอก “ฉันแค่เหนื่อย มานอนอยู่ที่นี่”
แม้จนตอนนี้ เธอก็ยังไม่บอกความจริงกับเขา
จิ้นเฟิงเฉินโกรธอยู่ในใจ เขากุมมือเธอขึ้นมาจูบเบาๆ “โม่เหยียและหานยู่บอกผมหมดแล้ว”
“ห๊ะ”
ไม่คิดว่าโม่เหยียและหานยู่จะขายเธอ เจียงสื้อสื้อนิ่งงัน
จากนั้นพลันมีสติ รีบอธิบาย “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดคุณ แค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ โม่เหยียและหานยู่จัดการได้”
“คนโง่ ผมไม่ได้โทษคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินจับปอยผมของเธอออกจับแก้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ผมแค่ปวดใจที่คุณต้องมาทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว”