ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ความเงียบเชียบไม่มีเสียงอื่นใด บรรยากาศอันแสนอึดอัด
จิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แต่ว่ายังสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีความหวาดกลัวอันแข็งแกร่งและความรู้สึกกดดันได้
บรรดาคณะกรรมการที่เห็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่อย่างคุ้นชินแล้ว ในใจยังรู้สึกขี้ขลาดเล็กน้อย
ฟางยู่เชินกวาดตามองรอบๆ จากนั้นก็กระแอมออกมาเบาๆ “ทุกท่าน วันนี้คุณท่านจิ้นจะเข้าร่วมการประชุมด้วย ถ้าพวกคุณมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถเสนอขึ้นมาได้ในตอนนี้เลย”
บรรดากรรมการต่างมองหน้ากันไปมา เลิ่กลั่กกันไปหมด จากนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตารักษาความเงียบ
เมื่อเห็นดังนั้น ฟางอี้หมิงยิ้มให้อย่างเยาะเย้ย พวกตาแก่ที่ไร้ประโยชน์
เขาหันศีรษะไปทางฟางเฉิงเพื่อส่งสัญญาณให้ อีกคนเลยเข้าใจทันที และลุกขึ้น
“ยู่เชิน นี่มันเป็นห้องประชุมของฟางซื่อกรุ๊ป ถือว่าเป็นความลับในทางธุรกิจ คุณให้คุณท่านจิ้นเข้ามาประชุมด้วยเกรงว่ามันจะไม่เหมาะอยู่มาก?”
ฟางเย้นซินเหลือบตามองพวกของฟางอี้หมิง พลันกระตุกรอยยิ้มออกมา “ลุงใหญ่ คุณพูดออกมาเช่นนี้มันดูเป็นคนนอกเกินไปไหม? คุณท่านจิ้นก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลฟางครึ่งหนึ่งแหละ”
ฟางเฉิงและฟางอี้หมิงไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดแทนจิ้นเฟิงเฉิน จนทั้งสองคนหน้าถอดสี
เมื่อได้ยินที่ฟางเย้นซินพูดต่อ “ดูเหมือนว่าพวกคุณคงไม่ทราบ ประเด็นหลักในการประชุมในวันนี้คือการเจรจาในการร่วมมือกันกับทางจิ้นกรุ๊ป การที่คุณท่านจิ้นอยู่ที่นี่ด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว”
ร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ปเหรอ?
ฟางเฉิงกับฟางอี้หมิงตกใจอยู่ในใจทั้งคู่ แต่ว่าไม่ได้แสดงให้เห็นออกมาทางสีหน้าเลยสักนิด
ฟางอี้หมิงยิ้มให้ “ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้เอง พ่อผมเข้าใจผิดเอง”
เข้าใจผิดประโยคที่ดีจริงๆ
แบบนี้ที่สามารถปกปิดความคิดของพวกเขาที่มีอยู่เดิมได้แสนง่ายดาย
เพื่อไม่ให้พวกเขาได้สมใจปรารถนา
“พี่ใหญ่ ฉันคิดว่าลุงใหญ่คงไม่ได้เข้าใจผิดหรอกมั้ง เพราะเดิมก็มีข้อคิดเห็นกับเขาคุณท่านจิ้นอยู่ก่อนอยู่แล้ว” แม้ว่าใบหน้าของฟางเย้นซินจะปรากฏด้วยรอยยิ้ม แต่ว่ามันทำให้คนเสียวสันหลังทันที
“คุณคิดมากไปแล้ว พ่อผมไม่ได้มีความหมายนั้นเลย” ฟางอี้หมิงหุบยิ้ม พร้อมทั้งเหลือบตามองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็พูดกับฟางยู่เชิน “พวกเราไม่ได้มีความคิดเห็นใดๆ ประชุมกันเถอะ”
ฟางยู่เชินกวาดตามองพวกเขา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย ได้แต่ประกาศเริ่มเปิดประชุมทันที
ก็เป็นไปตามที่ฟางเย้นซินกล่าวออกมาเช่นนั้น การประชุมกันในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับการร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ปจริงๆ
ฟางยู่เชินพูดถึงประเด็นสำคัญในไตรมาสหน้าที่จะร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพแห่งหนึ่งของจิ้นกรุ๊ป หัวข้อหลักๆ คือเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีทางชีวภาพ
เหล่าคณะกรรมการได้ยินแล้ว ทุกคนต่างทำตาโต พร้อมทั้งกอดความคาดหวังไว้มาก
แต่ฟางเย้นซินที่เป็นคนพูดแทนฟางยู่เชินก่อนหน้านี้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา
“ตอนนี้บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพมีตั้งมากมาย คุณรู้สึกว่าพวกเราสามารถเติบโตผ่านคมหอกคมดาบได้เหรอ?”
ฟางยู่เชินยิ้มเล็กน้อย “ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ อีกทั้งเป็นผมที่ตัดสินใจร่วมมือกับกับจิ้นกรุ๊ป ทุกความเสี่ยงผมจะรับผิดชอบเอง”
นั่นก็หมายความว่า ถ้าการร่วมมือในครั้งนี้มันเกิดประสบผลสำเร็จขึ้นมา พวกเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมา ฟางยู่เชินก็จะเป็นคนแบบรับไว้ทุกอย่าง
เรื่องดีๆ เช่นนี้ ไม่มีใครที่จะไม่เห็นด้วยหรอก
ฟางเฉิงกับฟางอี้หมิงสบตากัน แววตาของทั้งสองคนต่างทอประกายออกมา
“ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี” ฟางเฉิงพูด
ฟางยู่เชินมองไปทางเขา “เช่นนั้นลุงใหญ่จะต้องให้ทำอย่างไรถึงจะเชื่อได้ล่ะ?”
“เขียนหนังสือรับรองบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร”
“เขียนหนังสือรับรองบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร?” ฟางยู่เชินเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ
“ไม่ผิดหรอก ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น คุณก็ต้องลงจากตำแหน่งของประธานบริษัท”
เมื่อคำพูดนี้ออกไป คนอื่นๆ ต่างก็ตกใจทันที
“ลุงใหญ่ คุณนี่ได้ทีขี่แพะไล่เลยเหรอเนี่ย?” แม้ว่าปากของฟางเย้นซินจะพูดออกมาเช่นนี้ แต่ว่าในใจเกิดความรู้สึกไม่สบายจนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ถ้าฟางยู่เชินเขียนหนังสือรับรองบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงเวลานั้นแล้วเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมา เขาก็ต้องเอาอำนาจของฟางซื่อกรุ๊ปกลับคืนมา เช่นนั้นตนเองก็หมดโอกาสแล้ว
เดิมก็คิดว่าฟางยู่เชินจะไม่ยินยอม ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาตกปากรับคำทันที
“ได้ ผมเซ็น”
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง มุมปากกระตุกการเยาะเย้ยเล็กน้อย
คนในตระกูลฟางต่างก็คอยหาโอกาสที่ให้คนของตนเองพลาดท่าอยู่ตลอดเวลา แต่ช่างน่าเสียดายที่ความหวังของพวกเขาจะสูญเปล่าไม่เป็นท่า
การร่วมมือกันในครั้งนี้จะมีแต่ความสำเร็จไม่มีคำว่าพ่ายแพ้
ฟางยู่เชินให้ผู้ช่วยนำหนังสือพิมพ์หนังสือรับรองบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา จากนั้นก็จัดการเซ็นชื่อด้วยตนเองอย่างไม่มีการลังเลแต่อย่างใด
หลังจากที่เซ็นชื่อแล้ว เขาก็เงยหน้ากวาดตามองคนทั้งกลุ่มนั้น พร้อมทั้งฉีกยิ้มให้ “ทุกท่าน ยังมีปัญหาเรื่องอื่นอยู่ไหม?”
ฟางเฉิงรีบวิ่งไปหยิบหนังสือรับรองบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่เซ็นเรียบร้อยขึ้นมาดูเพื่อให้ชัดเจนอย่างร้อนรน เมื่อตอนที่ได้เห็นฟางยู่เชินเซ็นชื่อลงไปนั้น พลันเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจขึ้นมา
“ยู่เชิน คุณก็เซ็นชื่อแล้ว เช่นนั้นพวกเราทุกคนก็ย่อมเชื่อคุณ ใช่ไหม ทุกท่าน?”
เขาหันไปถามความคิดเห็นของคนอื่น
คนอื่นๆ ต่างรีบพูดประจบ “ใช่ พวกเราเชื่อกันหมดแล้ว”
ฟางยู่เชินลุกขึ้นยืน เพื่อมองพวกเขา ด้วยสายตาเยาะเย้ยที่ปิดไม่มิด “เป็นไปตามนี้แล้ว งั้นก็เลิกประชุมเถอะ”
“น้องเขย เราไปกันเถอะ” เขาหันศีรษะไปพูดกับจิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าให้
ทั้งสองคนเดินขนาบข้างคู่กันออกจากห้องประชุม
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปแล้ว ฟางเฉิงก็พูดกับฟางอี้หมิงอย่างภาคภูมิใจ “ดูแล้วว่าฟางยู่เชินคงโง่ดักดานมาก ที่สามารถเขียนหนังสือรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรได้แสนง่ายดายเช่นนี้”
ฟางอี้หมิงยิ้มให้อย่างเย็นชา “เขากล้าเซ็น พวกเราก็กล้าที่จะทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งได้”
“งั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี?”
ฟางอี้หมิงเหลือบมองฟางเย้นซินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่ได้เดินออกไป “กลับไปแล้วค่อยคุยกัน”
เมื่อเห็นว่าฟางเฉิงกับฟางอี้หมิงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปแล้ว ฟางเย้นซินก็ลุกขึ้นยืน เขาหรี่ตาลง นัยน์ตาปรากฏแววตาระยิบระยับ
ฟางอี้หมิงคนนั้นต้องกำลังคิดแผนการชั่วร้ายอะไรอยู่แน่นอน
แต่ว่า ครั้งนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ ย่อมไม่มีใครรู้
……
เมื่อกลับมาถึงห้องทำงานแล้ว ฟางยู่เชินถอนหายใจยาวเหยียด พลางหันตัวไป
“น้องเขย คุณว่าที่ผมเซ็นหนังสือรับรองนั่นถูกต้องไหม?”
“จะเซ็นหรือไม่เซ็น แล้วมันต่างกันไหมล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินไม่ตอบแต่ถามกลับ
ฟางยู่เชินยิ้มให้ “ไม่แตกต่าง ไม่ว่าผมจะเซ็นหรือไม่เซ็นก็ตาม พวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี ดังนั้นไม่เท่ากับเซ็นไปเถอะ เพราะอย่างไรผมก็จะไม่แพ้”
“มีความมั่นใจถือว่าเป็นเรื่องที่ดี” จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้าไปนั่งลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “เรื่องรายละเอียดของบริษัทผมจะให้กู้เนี่ยนเป็นคนมาคุยกับคุณ”
“ตกลง”
ฟางยู่เชินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถามกลับ “น้องเขย คืนพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงการกุศล คุณต้องการจะพาน้องสาวไปร่วมงานด้วยไหม?”
“ไม่ล่ะ” จิ้นเฟิงเฉินตอบปฏิเสธทันที
การที่เขามาเมืองหลวงในครั้งนี้ ก็เพื่อเจียงสื้อสื้อ ไม่อยากเข้าไปข้องแวะในอำนาจทางเมืองหลวงมากเกินไป
“ความจริงแล้ว….” ฟางยู่เชินนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเขา พร้อมทั้งลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดต่อ “ผมคิดว่าจะใช้โอกาสในครั้งนี้แนะนำให้เจียงสื้อสื้อให้ทุกคนรู้จัก ว่าเธอก็คือคนในตระกูลฟาง”
จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าให้ “งั้นได้ ผมกลับไปแล้วจะบอกเจียงสื้อสื้อ ถ้าเธอตกลงก็ไป ถ้าไม่ตกลงก็ปล่อยไป”
“ขอบคุณ คุณมากเลยน้องเขย”
ความจริงแล้วในใจของฟางยู่เชินเริ่มเห็นแก่ตัวเล็กน้อย เขาต้องการที่จะทำให้ทุกคนรู้ว่าฟางซื่อกรุ๊ปกับจิ้นกรุ๊ปมีการร่วมมือกันแล้ว ในภายภาคหน้าเรื่องนี้มันจะส่งผลประโยชน์ให้เขาในเส้นทางธุรกิจอยู่ไม่มากก็น้อย
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้อยู่ที่ฟางซื่อกรุ๊ปนานนัก ไม่นานก็กลับไปแล้ว
ตอนที่เขากลับมาถึงบ้านตระกูลฟาง ประจวบเหมาะกับซ่างหยิงและเจียงสื้อสื้อกำลังเตรียมตัวจะออกไปพอดี
“คุณกลับมาแล้ว” เจียงสื้อสื้อจ้องมองเขาอย่างยินดี
“อื้อ” จิ้นเฟิงเฉินกวาดตามองข้าวกล่องที่รักษาอุณหภูมิที่อยู่ในมือของพวกเธอ “ผมส่งพวกคุณไปโรงพยาบาล”
“คุณยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย? รีบเข้าไปกินเร็ว พวกเราไปกันเองได้” ซ่างหยิงกล่าวขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว”
จิ้นเฟิงเฉินหยิบของที่อยู่ในมือของพวกเธอไป พลางหันตัวออกแล้วสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไป