หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินรู้ข่าวไฟไหม้โกดังแล้ว คิ้วก็ขมวดมุ่น ตึงเครียดขึ้น
“น้องเขย ตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี”
ในสายตาคนอื่นฟางยู่เชินยังยืนหยัด ทำตัวแข็งแกร่งได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ้นเฟิงเฉิน ความกังวลที่อยู่ในใจของเขาก็เผยออกมาให้เห็น
จิ้นเฟิงเฉินมองเขา คิดอยู่สักพัก เอ่ยถาม “ไฟไหม้ครั้งนี้นายคิดยังไง”
ฟางยู่เชินบอก “ตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“งั้นนายคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เหรอ”
“ฉัน…” ฟางยู่เชินลังเล ความจริงเขารู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูก
“ดูกล้องวงจรปิดก่อน” จิ้นเฟิงเฉินบอก “ถ้าเป็นอุบัติเหตุอย่างที่ตำรวจบอก ไฟไหม้เพราะก้นบุหรี่ งั้นก็ต้องมีภาพในกล้องวงจรปิด”
คำพูดของเขาทำให้เขาคิดได้ ฟางยู่เชินพยักหน้ารัวๆ “ได้ ฉันจะให้คนไปดู”
พูดแล้วเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
“อาเชิน จะไปไหน” ซ่างหยิงเดินออกมาจากครัว มองเห็นฟางยู่เชินรีบร้อนออกไป จึงรีบถาม
“บริษัท”
“ไม่ทานข้าวเช้าเหรอ”
“ไม่ครับ”
ฟางยู่เชินไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ สาวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ซ่างหยิงหันกลับไปมองเจียงสื้อสื้อ ใบหน้าเผยความกังวลถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า”
เจียงสื้อสื้อปลอบโยนเธอ “เปล่าหรอกค่ะ แค่ที่บริษัทมีเรื่องที่พี่ชายต้องไปดู”
“แบบนี้นี่เอง” ซ่างหยิงเชื่อแล้ว จากนั้นเธอหันไปมองจิ้นเฟิงเฉิน เอ่ยยิ้มๆ “อาหารเช้าเตรียมเสร็จแล้ว รีบเข้าไปทานเถอะ”
“ขอบคุณค่ะ น้าสะใภ้”
เจียงสื้อสื้อยิ้มหวานให้เธอ จากนั้นจูงมือจิ้นเฟิงเฉินเดินเข้าไปยังห้องรับประทานอาหาร
“คุณรู้สึกว่าไฟไหม้ครั้งนี้มันแปลกๆ ใช่ไหมคะ” เจียงสื้อสื้อเหลือบมองซ่างหยิงที่เดินตามหลังมาเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยถามชายหนุ่มเสียงเบา
มุมปากจิ้นเฟิงเฉินยิ้มหยัน “แผนการแนบเนียนเลยทีเดียว”
ตอนอยู่ที่อิตาลี เขาให้ชีซาเผาโกดังของSAกรุ๊ป เพื่อเผาทำลายวัตถุดิบชุดนั้น
แต่ไฟไหม้ที่โกดังฟางซื่อกรุ๊ปคงจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “คุณคิดว่าใช่ศัตรูเป็นคนลงมือไหมคะ”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ก็ไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ออก”
ฟางยู่เชินพึ่งรับตำแหน่ง ยังยืนได้ไม่มั่นคง ดังนั้นตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีใจการลงมือกับฟางซื่อกรุ๊ป
แต่จิ้นเฟิงเฉินคิดว่าโอกาสที่จะเป็นคนในมีมากกว่า
“งั้น…พี่ชายจะเกิดเรื่องไหมคะ” เจียงสื้อสื้อถามด้วยความกังวล
จิ้นเฟิงเฉินหยุดเท้า หันกลับมา มองเธอ “คุณไม่ต้องกังวลหรอก เรื่องนี้ผมจัดการได้”
“ลำบากคุณแล้ว”
นอกจากประโยคนี้ เจียงสื้อสื้อไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร
เขายอมช่วยตระกูลฟางเพราะเธอ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองสร้างความวุ่นวายให้กับเขาไม่น้อย
เหมือนเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จิ้นเฟิงเฉินบอกกับเธอท่าทางจริงจัง “แค่คุณมีความสุข ผมไม่ลำบากเลยสักนิด”
รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ เจียงสื้อสื้อมองเขา “เดี๋ยวนี้คุณพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้จนเป็นนิสัยไปแล้ว”
“ฝึกเพื่อคุณเลยนะ”
“ยังอีก” เจียงสื้อสื้อถลึงตาใส่เขา
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม ยกมือขึ้นโอบไหล่เธอ “ทานข้าวกันเถอะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปที่ห้องรับประทานอาหารพร้อมๆ กัน และซ่างหยิงที่เดินตามหลังพวกเขานั้น มองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่นานรอยยิ้มก็หายไป กลายเป็นความหนักอึ้งอยู่ในใจ
เมื่อไหร่อาเชินจะตามหาความสุขของตัวเองเจอนะ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
……
ฟางยู่เชินมาถึงบริษัท ก็สั่งให้ผู้ชายเอากล้องวงจรปิดของโกดังมาตรวจสอบ
ทั้งสองนั่งดูกล้องวงจรปิดอยู่นาน เห็นเพียงพนักงานคนนั้นเดินออกไปสูบบุหรี่หนึ่งมวน ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
“เป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ เหรอ” ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว
เขากำลังจะลากย้อนดูอีกรอบ แต่ผู้ช่วยกลับบอก “เดี๋ยวก่อนครับ”
“อะไร” ฟางยู่เชินถาม
“ท่านประทาน คุณดูตรงนี้สิครับ” ผู้ช่วยชี้ไปที่ขอบภาพ “คุณรู้สึกไหมครับว่าตรงนี้มันแปลก เหมือนมีสองภาพซ้อนกันอยู่”
ได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินก็ดูให้ละเอียดอีกครั้ง เป็นแบบที่เขาพูดจริงๆ ขอบภาพนั้นมีอะไรแปลกไป
“เรียกคนของฝ่ายเทคนิคมาหนึ่งคน” ฟางยู่เชินออกคำสั่ง
“ครับ”
ผู้ช่วยรับคำสั่งแล้วรีบออกไป
ไม่นานคนของฝ่ายเทคนิคก็มาถึง
ฟางยู่เชินรีบลุกขึ้น ชี้ไปที่คอมพิวเตอร์แล้วบอก “คุณช่วยผมดูหน่อย วิดีโอนี้ถูกตัดต่อมาก่อนหรือเปล่า”
เมื่อฝ่ายเทคนิคตรวจสอบดูแล้ว พบว่าวิดีโอผ่านการตัดต่อมาแล้วจริงๆ
“คิดว่าวิดีโอน่าจะถูกตัดออกไปช่วงหนึ่งครับ จากนั้นใช้วิดีโออื่นมาต่อแทน”
“งั้นมีวิธีกู้คืนวิดีโอต้นฉบับไหม” ฟางยู่เชินถาม
พนักงานฝ่ายเทคนิคส่ายหน้า “นี่เกรงว่าจะยากเลยครับ”
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “งั้นก็แปลว่าได้ ถูกไหม”
“ตามหลักการเป็นแบบนั้นครับ แต่การปฏิบัตินั้นไม่แน่นอน” พนักงานฝ่ายเทคนิคไม่รับประกันว่าจะทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“ผมรู้แล้ว คุณกลับไปทำงานเถอะ”
รอพนักงานฝ่ายเทคนิคออกไปแล้ว ฟางยู่เชินปิดโน๊ตบุ๊คลง ถือไว้ในมือ เดินออกจากห้องทำงานไป
เขาต้องบอกเรื่องนี้กับจิ้นเฟิงเฉิน บางทีเขาอาจจะมีวิธีแก้ปัญหา
อีกด้าน ฟางอี้หมิงได้รับรายงาน วัตถุดิบทุกอย่างถูกส่งขึ้นเรืออย่างปลอดภัย
เขายกมือขึ้นคลายเนกไท ถอนหายใจยาว อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ครั้งนี้ถึงฟางยู่เชินจะตรวจสอบอะไรได้มันก็สายไปแล้ว”
“ได้ข่าวว่าฟางยู่เชินไปที่สถานีตำรวจแล้ว” ฟางเฉินที่อยู่ด้านข้างบอก “แต่เหมือนคนคนนั้นจะตกใจมาก พูดจาไม่รู้เรื่อง ตำรวจยังไม่ได้สอบปากคำเขา”
“เหรอครับ” ฟางอี้หมิงหัวเราะ “ผมคิดว่าเขาใกล้จะพูดไม่ออกแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ฟางเฉินก็ขมวดคิ้ว “แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ฟางอี้หมิงลุกขึ้น สะบัดชุดสูท “ก็หมายความอย่างที่พูดแหละครับ”
เอ่ยจบ เขาก็เดินออกจากห้องทำงานไป
โกดังฟางซื่อไฟไหม้ เขาต้องไปแสดงความห่วงใยต่อน้องชายซะหน่อย
แต่เมื่อเขาไปถึงห้องทำงานของท่านประทานแล้วกลับได้รับรายงานว่าฟางยู่เชินออกไปแล้ว
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขายังมีกะจิตกะใจออกไปข้างนอกอีกเหรอ” ฟางอี้หมิงมองผู้ช่วยของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้ช่วยยังคงนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านประธานกำลังตรวจสอบเรื่องไฟไหม้ครับ”
“ตรวจสอบเหรอ” ฟางอี้หมิงแสดงท่าทางแปลกใจออกมา “ไม่ใช่อุบัติเหตุเหรอ ยังต้องตรวจสอบอะไรอีก”
“ผมเป็นแค่ผู้ช่วย บางเรื่องก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
หมายความว่าอย่าคิดมาถามเรื่องพวกนี้กับเขาเลย
แม้กระทั่งผู้ช่วยยังกล้าพูดแบบนี้กับเขา ฟางอี้หมิงโมโหอยู่ในใจ แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาผ่านสีหน้าได้ ได้แต่กัดฟันตอบ “แบบนั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวรอเขากลับมา ฉันจะมาใหม่”
พูดจบก็หมุนตัวเดินหนีไป
ผู้ช่วยพ่นลมหายใจออกมา ดีที่ท่านประทานสั่งไว้ก่อน ถ้ามีใครมาถามเรื่องไฟไหม้โกดัง ให้บอกไปว่าไม่รู้เรื่อง
ฟางอี้หมิงเดินไปถึงหน้าลิฟต์ นึกย้อนถึงคำพูดของผู้ช่วย ยิ่งคิดยิ่งโกรธ
เจ้าชายแบบไหนก็เลี้ยงหมาได้แบบนั้นจริงๆ
ชวนให้คนเกลียดเหมือนกัน
เขาหรี่ตาลง แววตาแข็งกร้าว ไม่ได้ เขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปแบบนี้ไม่ได้