ช่วงเช้ามืด รถบรรทุกคันใหญ่เข้ามายังโกดังชานเมือง
สุดท้ายมาหยุดลงหน้าโกดังของฟางซื่อกรุ๊ป
มีคนลงจากรถมาจำนวนหนึ่ง พวกเขาวิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดพวกคุณก็มาแล้ว” คนที่พูดคือเสี่ยวหลี่เมื่อกลางวันนั่นเอง
“เตรียมไว้หรือยัง”
เสี่ยวหลี่พยักหน้า “เรียบร้อย เดินเข้าไปแล้วอยู่ขวามือ สิบกล่องนั้นเป็นของที่ท่านรองฟางต้องการทั้งหมดเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายก็รีบหันกลับไปสั่งการ “เอาลงมาจากรถก่อน”
คนอื่นๆ รับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ขนกล่องมากองรวมกันไว้หน้าประตูโกดังประมาณสิบกล่อง
เสี่ยวหลี่มองกล่องพวกนั้น ใบหน้ามึนงง “นี่คืออะไร”
“ถึงตอนนั้นเดี๋ยวนายก็รู้เอง รีบเปิดประตู”
อีกฝ่ายไม่ยอมอธิบาย เสี่ยวหลี่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เปิดประตูอย่างว่าง่าย
เมื่อประตูเปิดออก หลายคนก็รีบพุ่งเข้าไป เมื่อหาวัตถุดิบที่เสี่ยวหลี่บอกเอาไว้เจอแล้ว จากนั้นรีบขนขึ้นรถ
ทำงานกันอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง วัตถุดิบทุกอย่างก็ถูกขนขึ้นรถไปจนหมด
และกล่องที่ถูกขนลงจากรถนั้นก็โดนย้ายเข้าไปไว้ในโกดัง
เสี่ยวหลี่พลันเข้าใจในทันที อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ท่ารองฟางนี่รอบคอบจริงๆ ”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะไป บอก “ท่านรองฟางให้ฉันบอกนาย เรื่องวัตถุดิบยาเขาจะรายงานท่านประธาน นายก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องก็พอ เข้าใจหรือเปล่า”
เสี่ยวหลี่รีบพยักหน้า “ผมเข้าใจ ผมเข้าใจ บอกท่านรองฟางวางใจได้เลย ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หลังจากได้รับคำสัญญาจากเขา อีกฝ่ายก็จากไป
เมื่อรถบรรทุกออกไป โกดังก็กลับมาสงบเงียบเหมือนเดิม
เสี่ยวหลี่รีบปิดประตู จากนั้นไปที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิด เปิดกล้องวงจรปิดที่ปิดไปก่อนหน้านี้ให้กลับมาทำงานเหมือนเดิม
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาจึงกลับไปนอนในห้องทำงานตนเองอย่างสบายใจ
และอีกด้านของเมืองหลวง ฟางเฉินเดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ ยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาอยู่เรื่อยๆ
“พ่อ อย่าเดินไปเดินมาได้ไหม” ฟางอี้หมิงทนดูไม่ได้ เอ่ยออกมา
ฟางเฉินเงยหน้ามองเขา “อี้หมิง แกว่ามันจะเกิดผิดพลาดอะไรหรือเปล่า”
“ไม่หรอก” ฟางอี้หมิงหรี่ตา “ผมไม่ยอมให้มันเกิดข้อผิดพลาดแน่นอน การร่วมมือของเรากับSAกรุ๊ปในครั้งนี้ต้องสำเร็จ”
“แต่แกเอาวัตถุดิบออกมาจากโกดังเยอะขนาดนั้น ถ้าโดนจับได้ เราก็จบเลยนะ” ฟางเฉินรู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวจะเกิดปัญหา
ประโยคนี้ทำให้ฟางอี้หมิงไม่พอใจ “พ่อ นี่พ่อไม่อยากให้ผมได้ดีหรือยังไง”
“ฉันได้หมายความแบบนั้น” ฟางเฉินรีบอธิบาย “ฉันแค่กลัวว่ามันจะเกิดปัญหา”
“ไม่มีทาง ผมหาแพะไว้แล้ว”
ฟางเฉินขมวดคิ้ว “แพะรับบาปเหรอ”
“ใช่” ฟางอี้หมิงยกยิ้มมุมปาก “ผมไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจหรอก”
ฟางเฉินคิดแล้วก็ถูก เขาทำอะไรรอบคอบมาตลอด ไม่เคยเกิดปัญหาใดๆ งั้นครั้งนี้ก็เช่นกัน
และในตอนนั้นเอง รถบรรทุกคันหนึ่งก็วิ่งเข้ามา จอดอยู่ไม่ไกล
คนบนรถกระโดดลงมา รีบเดินเข้าไปหาฟางอี้หมิง “ท่านรอง ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
ฟางอี้หมิงมองไปที่รถบรรทุก มุมปากยกยิ้มช้าๆ “ทำดีมาก”
“เป็นวัตถุดิบทั้งหมดใช่ไหม” ฟางเฉินถามอย่างไม่มั่นใจ
ฟางอี้หมิงตอบ “ครับ” จากนั้นหันไปสั่ง “เอาของไปส่งที่ท่าเรือ มีคนรอพวกนายอยู่ที่นั่น”
เขามีหน้าที่รับผิดชอบแค่ส่งของถึงท่าเรือ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ SAกรุ๊ป
“ครับ”
มองรถที่เคลื่อนตัวออกไป ฟางเฉินยังคงไม่วางใจ “อี้หมิง แพะรับบาปที่แกเตรียมไว้ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“ไม่มีเลยสักนิดครับ”
ตอนพูดประโยคนั้น รอยยิ้มเย็นก็ปรากฏบนใบหน้าฟางอี้หมิง
……
เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ฟางยู่เชินตื่นขึ้นมา เขาหรี่ตามองไปยังนาฬิกาบนหัวเตียง
ตีสี่
ใครจะโทรมาหาเขาในเวลาแบบนี้กันนะ
เขาลุกจากเตียง จากนั้นยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังไม่หยุด เมื่อดู เป็นเบอร์ผู้ช่วย
เมื่อกดรับก็มีเสียงตระหนกของอีกฝ่ายดังเข้ามา “ท่านประธานครับ เกิดเรื่องแล้ว”
ความง่วงงุนที่มีอยู่หายไปจนหมด ฟางยู่เชินถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“โกดังชานเมืองเกิดไฟไหม้ครับ แจ้งตำรวจไปแล้ว”
“อะไรนะ” ฟางยู่เชินตกใจจนหน้าซีด “ไฟไหม้ได้ยังไง”
“เพราะคนเข้าเวรดึกสูบบุหรี่ ไม่ทันระวังทิ้งก้นบุหรี่โดนกองวัตถุดิบครับ”
“บัดซบ” ฟางยู่เชินก่นด่า จากนั้นบอก “ถ้าดับไฟได้ก็ดับ ดับไม่ได้ก็ปล่อยเลย ปลอดภัยไว้ก่อน เดี๋ยวฉันไป”
พูดจบ เขาก็ตัดสาย ลงจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบเดินออกไป
เมื่อไปถึงโกดัง พบว่าสถานการณ์หนักกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ครึ่งหนึ่งของโกดังถูกไหม้จนหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงวัตถุดิบเลย
คงจะโดนไหม้เป็นจุณไปแล้ว
ฟางยู่เชินจ้องมองความวุ่นวายตรงหน้า ความรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจประดังเข้ามาราวกับคลื่น เกือบท่วมเขาจนจมมิดแล้ว
เขาพึ่งรับตำแหน่งฟางซื่อมาไม่นานก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถึงตอนนั้นคณะกรรมการต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่
“ท่านประธาน น่าเสียดาย ยาที่เหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ” ผู้ช่วยรายงานสถานการณ์ล่าสุด
ฟางยู่เชินหลับตาลงอย่างปวดใจ “เสียหายไปเท่าไหร่”
ผู้ช่วยไม่ได้ตอบ
ฟางยู่เชินลืมตาขึ้น หันกลับมา ขมวดคิ้ว “ทำไม เสียหายไปเท่าไหร่ไม่รู้เหรอ”
“เพราะว่า…สูญเสียไปมาก เวลาชั่วโมงครึ่งไม่สามารถคำนวณออกมาได้ทั้งหมดครับ”
“เสียหายมากงั้นเหรอ” ฟางยู่เชินหัวเราะออกมา ทว่ารอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา เขาชี้ไปที่โกดังที่โดนเผา เสียงดังขึ้น “ไหม้ขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงว่าสูญเสียมากขนาดไหน ฉันต้องการตัวเลขที่ชัดเจน”
ไม่เคยเห็นเขาโมโหแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาโกรธขนาดนี้ ผู้ช่วยตกใจ แต่ไม่นานก็ดึงสติกลับมา รีบบอก “ครั้งนี้มีวัตถุดิบหายากเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโหราเดือยไก่ซึ่งอาจสูญเสียเป็นร้อยล้าน”
เมื่อเอ่ยประโยคหลัง น้ำเสียงของผู้ช่วยก็สั่นเล็กน้อย
ร้อยล้าน
ฟางยู่เชินสูดหายใจเข้าลึก จึงสามารถกดความโกรธในใจเอาไว้ได้
“คนเฝ้ากะดึกล่ะ”
“ถูกตำรวจนำตัวไปแล้วครับ”
……
รุ่งเช้า เจียงสื้อสื้อเดินลงมา พอดีเห็นฟางยู่เชินเดินเข้าประตูมา
เธอถามเขาด้วยความแปลกใจ “พี่คะ พี่ทำงานพึ่งกลับมาเหรอ”
ฟางยู่เชินท่าทางเหนื่อยล้า ท่าทางไม่ดีเลย
“พี่เป็นอะไรคะ” เจียงสื้อสื้อถามอย่างเป็นห่วง
“สื้อสื้อ น้องเขยล่ะ” ฟางยู่เชินไม่ตอบทว่าถามกลับ
“เขายังอยู่ข้างบนค่ะ” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วแน่น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”
ฟางยู่เชินยิ้มแห้ง “ไฟไหม้โกดังน่ะ ไหมวัตถุดิบไปเยอะเลย”
เจียงสื้อสื้อไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟไหม้คะ”
ฟางยู่เชินเล่าเหตุการณ์ให้เธอฟัง
“จะบอกว่าเพราะก้นบุหรี่อันเดียวทำให้เกิดไฟไหม้ขนาดนี้เนี่ยนะคะ” เจียงสื้อสื้อถามอย่างไม่มั่นใจ
“อืม ตอนนี้สถานการณ์เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
เจียงสื้อสื้อกลับคิดว่ามันแปลกๆ “ปกติโกดังต้องมีสัญญาณเตือนไฟไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงได้ไหม้ขนาดนี้ล่ะ”
คำถามนี้ฟางยู่เชินเองก็สงสัย
เขาไปที่สถานีตำรวจ คนเฝ้าเวรคนนั้นตกใจกับเหตุไฟไหม้ครั้งนี้มากจนสติแทบไม่มี พูดไม่รู้เรื่อง บอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น