ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 982 ได้สิ่งที่ผมต้องการ

บทที่ 982 ได้สิ่งที่ผมต้องการ

“คนอื่นๆ ในศูนย์วิจัยนั้น ทักษะทางวิชาชีพก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปมากกว่าคุณเลย”

ความหมายคือ เขาไม่ใช่คนที่โดดเด่นเป็นพิเศษคนคนนั้น

เบอร์เกนจ้องมองฝู้จิงเหวิน มุมปากที่มีรอยยิ้มความหมายเป็นนัยน์อยู่เสมอ

“เหรอ?” ฝู้จิงเหวินยิ้มตอบ ในรอยยิ้มนั้นช่างดูถูกดูแคลนอย่างเต็มที่ “ถ้าพวกเขาเก่งจริง ก็คงไม่วิจัยกันมาตั้งนานขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังคงไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรสักอย่างเลย”

เบอร์เกนหรี่ตาลง “ฝู้ คำพูดของคุณมันช่างไม่น่าฟังเอาซะเลย”

“ไม่มีวิธีแล้วนี่ ก็ผมดันชอบพูดความจริงซะด้วย”

เพื่อการได้เข้าไปอยู่ในทีมวิจัยหลัก ครั้งนี้ฝู้จิงเหวินต้องเอาตัวเข้าแลกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยั่วโมโหเบอร์เกนก็ตามเขาก็ไม่สนใจแล้ว

เพราะว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องที่เบอร์เกนกำลังปวดหัวอยู่ในเวลานี้

เบอร์เกนใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะอยู่เรื่อยๆ หน้าตาดำคร่ำเครียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นขีด

ทว่าเวลานี้ก็สามารถมองออกว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขานั้นมันย่ำแย่มาก

ฝู้จิงเหวินเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร พลันยกขวดเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะจิบเบาๆ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

เขามั่นใจ ว่าเบอร์เกนต้องตกปากรับคำกับตนเองอย่างแน่นอน

สักพัก เบอร์เกนก็อ้าปากพูด “คุณสามารถรับประกันได้ไหมว่าถ้าคุณเข้าร่วมทีมแล้ว การวิจัยต้องมีความคืบหน้า และได้ผลลัพธ์กลับมาไหม?”

“แน่นอนสิ” ฝู้จิงเหวินกระตุกมุมปากด้วยรอยยิ้ม “ศาสตราจารย์คูรี่และระดับทักษะทางวิชาชีพของผมแล้ว ต้องได้แน่นอน”

เบอร์เกนลังเลอยู่สักพัก ถึงได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย “ได้ คุณสามารถเข้าร่วมทีมของพวกศาสตราจารย์คูรี่ได้ แต่ฉันก็หวังว่าคุณไม่ควรมีความคิดที่ไม่ควรจะมีนะ”

“คุณวางใจเถอะ”

ฝู้จิงเหวินยกแก้วไวน์ขึ้น “หวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข”

เบอร์เกนชนแก้วไวน์กับเขา หลังจากที่ดื่มหมดแก้วแล้ว แต่สายตาเอาแต่จับจ้องเขาอยู่ตลอด ราวกับว่าอยากจะมองอะไรบนใบหน้าของเขาให้ออก

หลังจากพูดคุยกันอย่างเรียบร้อยแล้ว เบอร์เกนก็ขอตัวกลับทันที ทิ้งให้ฝู้จิงเหวินอยู่คนเดียว

อาการตึงบริเวณเส้นประสาทตรงต้นคอของฝู้จิงเหวินพลันผ่อนคลายลงทันที เขาเอนตัวไปทางพนักพิงเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็หลับตาลง แล้วยกมือขึ้นมานวดบริเวณหัวคิ้วอย่างเบามือ

ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลจนใกล้เข้ามาทุกทีบริเวณด้านข้างหู

เวลานั้นเอง ก็มีคนลงมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา

เขาถลึงตาโต ตอนที่ต้องมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อย่างไร้ซึ่งอารมณ์แต่อย่างใด “คุณมาทำอะไร?”

“ที่นี่มีเขียนเอาไว้เหรอว่าไม่ให้ฉันมา?” ข่ายสื้อลินตอกกลับ

ฝู้จิงเหวินขี้เกียจจะสนใจเธอ พลันหลับตาลงอีกครั้ง

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นไปแบบนั้นแล้ว ข่ายสื้อลินก็จัดการเทเหล้าให้ตนเอง และยกขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ พูดออกมาช้าๆ “เมื่อครู่เบอร์เกนโทรศัพท์มาหาฉันแล้ว..”

เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ฝู้จิงเหวินที่ใช้มือที่บีบหัวคิ้วอยู่ค้างเติ่งทันที

“เขาให้ฉันจัดคนมาดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณทั้งหมด แน่นอนว่า นี่เป็นการติดตั้งการสอดส่องดูแลควบคุมรอบตัวคุณได้อย่างชัดเจนมาก ทุกการกระทำของคุณย่อมตกอยู่ภายใต้สายตาของเขาทุกอย่าง”

ข่ายสื้อลินรู้สึกดีใจท่ามกลางความทุกข์ของคนอื่นอยู่เล็กน้อย

เขาทำเพื่อเจียงสื้อสื้อผู้หญิงคนนั้น แถมยังเอาอิสระของตนเองผู้มัดเข้าไป ช่างไม่คุ้มค่าจริงๆ

“พูดจบหรือยัง?” ฝู้จิงเหวินถามกลับอย่างเรียบเฉย

เริ่มทำหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้อีกครั้งแล้ว

ข่ายสื้อลินเม้มริมฝีปากทันที น้ำเสียงแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาเล็กน้อย “คุณอย่าคิดนะว่าการที่คุณเข้าไปอยู่ในทีมวิจัยหลักแล้ว ก็จะสามารถช่วยเหลือเจียงสื้อสื้อได้ นิสัยอย่างศาสตราจารย์คูรี่ ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าไปอยู่ในทีมเดียวกับพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่ให้คุณมีโอกาสให้คุณได้สัมผัสในการเข้าสู่เนื้อหาวิจัยที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดหรอก”

ฝู้จิงเหวินเบิกตาโต นัยน์ตาแสดงความเย็นชาออกมา ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย “แล้วจะยังไงต่อ?” ข่ายสื้อลินถึงกับกระอักทันที

“ตั้งแต่ฉันสามารถเข้าร่วมทีมได้ นั่นก็มีวิธีที่ฉันสามารถเอาของที่ฉันอยากได้มา”

ฝู้จิงเหวินลุกขึ้นยืน หลังจากทิ้งระเบิดไว้ประโยคหนึ่ง พลันเดินกลับไปทั้งๆ ที่ไม่หันศีรษะกลับมาด้วยซ้ำ

ข่ายสื้อลินมองแผ่นหลังที่เดินจากไปแล้ว เธอมันเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธเคือง

ผู้ชายคนนี้ช่างสารเลวจริงๆ เลย

……

เจียงสื้อสื้อตัดสินใจกลับเมืองจิ่นไปพร้อมกับจิ้นเฟิงเฉิน เพราะว่าเธอนั้นคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองคนแล้ว

“ถึงเวลาที่แกควรกลับไปแล้ว”

หลังจากที่ฟางเสว่มั่นได้ยินคำตัดสินใจของเธอแล้วนั้น น้ำเสียงพูดอย่างหนักแน่นทรงพลังจากใจด้วยความรักใคร่ “เพราะว่าแกแต่งงานแล้ว เป็นคนของตระกูลจิ้นแล้ว ไม่ควรจะหมกตัวอยู่ที่บ้านแม่อยู่ตลอด”

“แม่ แม่คิดมากไปแล้ว” เจียงสื้อสื้อจ้องมองเธออย่างทำอะไรไม่ได้

“ฉันจะคิดมากไปได้ยังไงล่ะ? ฉันก็รู้ว่าพ่อแม่สามีของแกนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ทว่าคนข้างนอกล่ะ ไม่แน่อาจจะพูดนินทาลับหลังเรื่องแกอยู่ก็ได้”

ฟางเสว่มั่นเข้าใจกับคำติฉินนินทาคนอย่างรู้สึก เพราะกลัวว่าเธอจะได้รับความเสียหาย

“แม่ หนูเข้าใจความเป็นห่วงของแม่ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าหนูจะกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“กลับไปก็อย่ารีบกลับมานะ ทางนี้แม่มีน้าชายเล็ก น้าสะใภ้เล็ก ไม่มีทางมีเรื่องเกิดขึ้นหรอก”

เจียงสื้อสื้อพยักหน้าให้ “ค่ะ หนูรู้แล้ว แต่ว่าถ้าแม่มีเรื่องอะไร ต้องโทรศัพท์บอกหนูทันทีนะ”

เพราะว่าต้องเตรียมตัวเพื่อกลับไปที่เมืองจิ่น เธอจึงไม่ได้อยู่โรงพยาบาลนานสักเท่าไหร่จึงกลับไปที่บ้านใหญ่ตระกูลฟางทันที

ตอนที่เธอเก็บของอยู่นั้น ซ่างหยิงก็เคาะประตูและเดินเข้ามาในห้อง

“น้าสะใภ้เล็ก” เจียงสื้อสื้อพับเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็จัดการวางไว้อีกฝั่ง พลันเงยหน้ามองซ่างหยิง

ซ่างหยิงจ้องมองเธอเอาไว้ พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างฝืนๆ “ฉันอดใจไม่ได้ที่ต้องให้คุณกลับไปจริงๆ นะ”

หลังจากได้ยินแล้ว เจียงสื้อสื้อเผลอยิ้มทันที “น้าสะใภ้เล็ก ใช่ว่าฉันจะไม่มาอีกแล้วนี่”

“ก็คุณอยู่มาตั้งหลายวันขนาดนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกคุ้นชินกับการที่มีคุณอยู่ข้างกายแล้วนี่” ซ่างหยิงนั่งอยู่ข้างกายเธอ พร้อมทั้งรู้สึกหมดอารมณ์อยู่เนืองๆ

เจียงสื้อสื้อยิ้มให้ “งั้นเดี๋ยวฉันรีบกลับมาให้เร็วแล้วกัน”

“ได้เลย รอให้คุณกลับมานะ ฉันจะได้ทำของอร่อยๆ ให้คุณกินอีก”

เจียงสื้อสื้อพยักหน้าให้ “อื้อ อื้อ”

ซ่างหยิงเงียบอยู่ชั่วครู่ “ถ้ามีโอกาสฉันกับน้าชายเล็กของคุณอยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่สามีของคุณด้วยตัวเอง สองครอบครัวก็ควรน่าจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ”

“ความจริงแล้วพ่อแม่สามีของฉันพวกเขาก็อยากมาเมืองหลวง แต่ว่าเพราะว่าเรื่องของคุณตา พวกเขาก็ได้แต่บอกว่าไว้คราวหลังค่อยมา”

เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ซ่างหยิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไม? แม้ว่าคุณตาของคุณตอนนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่ว่าทางตระกูลฟางก็ยังมีบรรดาน้าชายทั้งหลายอยู่ ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกเขามาเถอะ”

“หรือว่า พวกเราไปทางนั้นก็ได้แล้วนี่”

เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “งั้นฉันกลับไปครั้งนี้จะพูดกับพวกเขาเลย”

ซ่างหยิงยิ้มให้ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “คุณเก็บของเสร็จแล้วก็ลงมานะ ฉันทำคุกกี้ไว้ให้เถียนเถียนกับเสี่ยวเป่าอยู่สักหน่อย คุณเอากลับไปให้พวกเขากินนะ”

เจียงสื้อสื้อปรากฏรอยยิ้มอย่างขอไปที “น้าสะใภ้เล็ก น้านี่ช่างโอ๋พวกเขาสองคนจัง”

ซ่างหยิงถอนหายใจ “ใครให้ตอนนี้ฉันไม่มีหลานล่ะ? ทำได้แค่ไปหลงเอาอกเอาใจพวกเขาสองคนนี่แหละ”

เจียงสื้อสื้อยิ้มให้เล็กน้อย “คุณวางใจเถอะนะ ฉันคิดว่าพี่ชายไม่นานนักก็จะพาลูกสะใภ้เข้าบ้านแล้ว”

อย่างเช่นซ่างกวนหยวนเป็นต้น

“ได้แต่หวังเท่านั้นแหละ”

ซ่างหยิงเลิกคิ้วให้ ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก เธอถึงได้ออกไป

ไม่นานนักเจียงสื้อสื้อก็เก็บสัมภาระเสร็จแล้ว พ่อบ้านก็ช่วยเธอยกลงไปยังด้านล่าง

ประจวบเหมาะกับจิ้นเฟิงเฉินกลับมาทันที

“คุณจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ?” เจียงสื้อสื้อถาม

“อื้อ เสร็จหมดแล้ว”

ด้วยความร่วมมือทางบริษัท เขาเลยไปธุระที่ฟางซื่อกรุ๊ปมาแล้วรอบหนึ่ง

จิ้นเฟิงเฉินมองกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือของพ่อบ้าน “เก็บของหมดแล้วเหรอ?”

เจียงสื้อสื้อพยักหน้าให้ “เสร็จหมดแล้ว สามารถเดินทางได้ตลอดเวลาเลยค่ะ”

ซ่างหยิงเดินออกมาจากห้องครัว เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว รีบพูดบ่ายเบี่ยงอย่างอดไม่ได้ “สื้อสื้อ ทำไมคุณต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย จะยอมอยู่อีกสักพักก็ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันเผลอพูดออกไปเท่านั้นเอง”

ซ่างหยิงเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งยื่นถุงกระดาษที่อยู่ในมือให้เธอ “นี่คือคุกกี้ที่ฉันทำ”

เจียงสื้อสื้อรีบรับเอาไว้ “ขอบคุณค่ะ น้าสะใภ้เล็ก”

“ไม่ต้องเกรงใจกับฉันขนาดนั้น”

ซ่างหยิงหันศีรษะไปหาจิ้นเฟิงเฉิน “พวกคุณเดินทางให้ระมัดระวังด้วย พอถึงแล้วก็โทรศัพท์หาฉันสักหน่อย”

จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าให้

จากนั้น ซ่างหยิงก็ให้คนขับรถส่งพวกเขาไปยังสนามบินทันที

เมื่อพวกเขาไปแล้ว บ้านใหญ่ทั้งหลังก็เปลี่ยนเป็นเวิ้งว้างว่างเปล่าในทันที ซ่างหยิงถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท