เมื่อเห็นเถียนเถียนแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ เจียงสื้อสื้อจุกอกทันที
เธอเดินเข้าไปหา จากนั้นก็นั่งยองๆ ลง พร้อมทั้งถามกลับอย่างระมัดระวัง “เถียนเถียน เป็นอะไรไป ใครแกล้งลูกเหรอ?”
เถียนเถียนหันหน้าหนี เพราะไม่อยากเห็นหน้าเธอ และก็ไม่พูดออกมาสักคำ
เจียงสื้อสื้อหันศีรษะกลับไปมองทางคุณครู
ยังไม่ทันอ้าปากถาม คุณครูก็เข้าใจความหมายของเธอทันที และรีบตอบกลับ “วันนี้เถียนเถียนเป็นเด็กดีมาก ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย”
เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของคุณครูแล้ว ไม่เหมือนว่าโกหกอะไรอยู่เลย
“เถียนเถียน ลูกอย่าได้ทำตัวไม่สนใจหม่ามี้ ได้ไหม?”
เพื่อให้เถียนเถียนได้เข้าใจตนเอง เจียงสื้อสื้อแสร้งทำท่าน้อยใจและเสียใจมาก ขนาดเสียงยังจงใจสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
“ทั้งๆ ที่หม่ามี้ไม่รักหนู” เถียนเถียนหลุดปากพูดออกมา
เมื่อเจียงสื้อสื้อได้ยินแล้ว พลันเลิกคิ้วทันที เพราะไม่เข้าใจเลยถามกลับ “ใครบอกว่าหม่ามี้ไม่รักหนูเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมแม่กับแด๊ดดี้ต้องไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายด้วยล่ะ?”
ในที่สุดเถียนเถียนก็หันหน้ากลับมา เธอเบะปาก ดวงตาแดงก่ำ
ท่าทางน่าสงสารมาก
เจียงสื้อสื้อเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที พลันรีบดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด พร้อมทั้งอธิบายอย่างอ่อนโยน “เพราะว่าพี่ชายของลูกได้รับบาดเจ็บ แด๊ดดี้กับหม่ามี้เลยต้องไปอยู่เป็นเพื่อนเขา”
“แด๊ดดี้กับหม่ามี้ให้คุณย่าไปอยู่เป็นเพื่อนกับเขาก็ได้นี่”
เจียงสื้อสื้อเข้าใจทันที ที่แท้เจ้าตัวน้อยเป็นเพราะว่าเธอกับเฟิงเฉินไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอ ถึงได้มีอารมณ์ขึ้นมา
“เถียนเถียน ลูกรักพี่ชายหรือเปล่า?”
“รัก” เถียนเถียนตอบออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด
“พี่ชายเขาก็รักหนูเหมือนกัน พี่ชายได้รับบาดเจ็บ เขาเจ็บปวดมาก ต้องการให้แด๊ดดี้กับหม่ามี้ไปอยู่ข้างกาย ถ้าเถียนเถียนต้องการแด๊ดดี้กับหม่ามี้ พวกเราจะอยู่ด้วยแน่นอน รู้แล้วใช่ไหม?” เจียงสื้อสื้อพูดอธิบายอย่างอดทน
เถียนเถียนพลันนึกถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ที่พี่ชายเลือดไหลออกมาตั้งมากมาย ต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับการแข่งขันกีฬาของเธอแล้ว พี่ชายย่อมสำคัญมากกว่าอย่างแน่นอน
“เถียนเถียนรู้แล้วค่ะ”
เถียนเถียนเงยใบหน้าชายเล็กๆ ขึ้น พลันถามกลับ “พี่ชายเป็นอย่างไรบ้าง?”
“คุณอาหมอช่วยจัดการเย็บแผลให้เขาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน”
เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมา “ยังโกรธหม่ามี้อยู่ไหมคะ?”
“ขอโทษค่ะ หม่ามี้ หนูไม่ควรจะขี้หวงขนาดนี้เลย” เถียนเถียนก้มหน้าลง พร้อมทั้งพูดขอโทษเสียงแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจียงสื้อสื้อลูบศีรษะเล็กๆ ของเธอ “แด๊ดดี้กับหม่ามี้ผิดเอง ที่ไม่ได้มาร่วมงานการแข่งขันกีฬาของลูก”
“ไม่หรอกค่ะ แด๊ดดี้กับหม่ามี้ต้องดูแลพี่ชาย”
เจียงสื้อสื้อยิ้มอย่างอ่อนโยนมาก “เถียนเถียนเก่งจังเลยค่ะ รู้เรื่องจริงๆ เลย”
“เถียนเถียน พวกเราไปโรงพยาบาลไปหาพี่ชายกัน” จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาหา พร้อมทั้งอุ้มเถียนเถียนขึ้นมา
เถียนเถียนโอบคอของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งเอนศีรษะไปหา น้ำเสียงหวานหยดย้อยช่างเหมือนกับชื่อของตนเองเลย เถียนเถียนถาม “แด๊ดดี้คะ หนูอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ ได้ไหมคะ?”
“ลูกถามหม่ามี้สิคะ”
เถียนเถียนหันไปมองเจียงสื้อสื้อ
เจียงสื้อสื้อยิ้มให้ “ได้แน่นอนเลยค่ะ”
“เย้ หนูสามารถกินแฮมเบอร์เกอร์ได้แล้ว!” เถียนเถียนร้องดีใจ
จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อสบตาและยิ้มให้กัน อารมณ์ของเจ้าเด็กน้อยมาไวและไปไวเสมอ
……
ฟางยู่เชินนัดซ่างกวนหยวนเจอ และยังเป็นร้านอิตาลีร้านเดิมที่ทั้งสองคนเคยกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรก
แต่ครั้งนี้ ฟางยู่เชินมาถึงก่อนอยู่นานแล้ว
ช่วงที่กำลังรอซ่างกวนหยวนอยู่นั้น เขาหยิบของขวัญผลุบเข้าผลุบออกเอาขึ้นมาดูอยู่ตลอดเวลา หัวใจเต้นเป็นจังหวะ “ตึก ตัก ตึก”
“ครั้งนี้ต้องสร้างความประทับใจที่ดีของฉันให้กับเธอให้ได้” เขาให้กำลังใจกับตนเอง
เกือบจะถึงหนึ่งทุ่มแล้ว ซ่างกวนหยวนมาสายเพิ่งจะมาถึง
“สวัสดีค่ะ”
ซ่างกวนหยวนแต่งตัวชุดทำงานอย่างเป็นทางการ ผมยาวปล่อยสยายอย่างสบายๆ ใบหน้าอันงดงามแต่งหน้าอย่างบรรจง การวางตัวช่างสง่างามมาก ร่างกายที่อยู่ภายใต้แสงไฟสาดส่อง ก็เหมือนกับเคลือบแสงออร่าอีกชั้น
ฟางยู่เชินรีบลุกขึ้นยืน แต่รีบลุกเกินไป จนมือไปชนกับแก้วที่อยู่บนโต๊ะอย่างไม่ทันระวัง
จนน้ำหกกระจายเต็มโต๊ะ
เวรแท้ๆ!
สีหน้าของฟางยู่เชินแดงระเรื่อเล็กน้อย พร้อมทั้งรีบดึงทิชชูออกมาหลายแผ่นเพื่อรีบช่วยเช็ดอย่างรีบร้อน แถมฝืนยิ้มให้ซ่างกวนหยวน “ขอโทษด้วย ทำตัวขายหน้าให้คุณเห็นซะแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ซ่างกวนหยวนเรียกพนักงานมาหา
ไม่นานนัก น้ำที่หกเลอะเรี่ยราดอยู่บนโต๊ะก็ถูกเช็ดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ฟางยู่เชินถอนหายใจโล่งอก พลันเงยหน้าขึ้นมามองซ่างกวนหยวนที่ยังยืนอยู่ พร้อมทั้งรีบเดินเข้าไปลากเก้าอี้ให้เธอ “เชิญคุณนั่งครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่รอให้เธอนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฟางยู่เชินถึงได้กลับไปยังที่นั่งของตนเอง
“คุณสั่งอาหาร” เขายื่นเมนูมาให้ตรงบริเวณหน้าของคุณ
หลังจากสั่งเรียบร้อยแล้ว ซ่างกวนหยวนเงยหน้าขึ้นมา พร้อมทั้งจ้องมองเขา และพูดกับเขาอย่างตรงไปตรงมา “สื้อสื้อบอกว่าคุณมีเรื่องที่ต้องการจะขอโทษกับฉัน ทำไมเหรอคะ?”
ฟางยู่เชินผงะเล็กน้อย “คือประโยคนั้นที่ผมพูดออกไปนั่นแหละ”
ซ่างกวนหยวนเลิกคิ้วขึ้น “ประโยคไหน?”
“ความจริงแล้วผู้หญิงผอมเกินไปมันไม่ดีไง”
เมื่อได้ยินแล้ว ซ่างกวนหยวนยิ้มออกมาทันที “ประธานฟาง คุณคิดมากไปแล้ว ฉันไม่โกรธเพราะว่าประโยคนี้หรอก”
“เหรอ? งั้นคืนวันนี้ทำไมคุณ..ถึงรีบร้อนกลับไปล่ะ?”
“ฉันมีธุระ ขอโทษด้วย เลยไม่ได้พูดกับคุณ จนทำให้คุณเข้าใจผิดแล้ว”
ไม่คิดเลยว่าเธอจะพูดแบบนี้ออกมา ฟางยู่เชินดีใจจนสติสตังเตลิด พลันรีบส่ายหน้าไปมาทันที “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เป็นผมที่คิดเล็กคิดน้อยไปเอง”
ซ่างกวนหยวนยิ้มให้ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทั้งสองคนต่างเงียบกันทั้งคู่
ฟางยู่เชินลังเลอยู่สักพัก “….. เอ่อ ผมขอไปห้องน้ำก่อน”
ซ่างกวนหยวนพยักหน้าให้
ฟางยู่เชินลุกขึ้นและเดินมุ่งหน้าไปคนละทางไปห้องหน้า
ไปห้องน้ำก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง
โชคดีที่ซ่างกวนหยวนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ฟางยู่เชินเดินหน้ายังเคาน์เตอร์ของร้านอาหาร และหันศีรษะไปมองซ่างกวนหยวนที่นั่งอยู่บนที่นั่ง พร้อมทั้งพูดกับหน้าเคาน์เตอร์อย่างรีบร้อน “ผมต้องการเอาดอกไม้ของผมครับ”
อีกฝ่ายก็เอาดอกไม้ยื่นให้กับเขา
เขาพูด “ขอบคุณครับ” ออกมา จากนั้นก็หันตัวกลับมา และสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แฃะก้าวเท้า เดินมุ่งหน้าไปทางซ่างกวนหยวนทีละก้าวทีละก้าว
ซ่างกวนหยวนก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ อยู่ดีๆ ด้านหน้าก็ปรากฏดอกไม้ช่อโต
“ให้คุณครับ”
เธอเงยหน้าขึ้น ประจวบเหมาะกับตอนนี้ดวงตาของฟางยู่เชินเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จนหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติตามเดิมได้อย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณค่ะ” เธอรับมา พร้อมทั้งวางไว้ที่นั่งว่างที่อยู่ด้านข้าง
ฟางยู่เชินหันศีรษะไปยิ้มเล็กน้อยในมุมที่เธอมองไม่เห็น พร้อมทั้งกลับมานั่งลงบนที่นั่งของตนเองอย่างหัวใจเปี่ยมล้น
จากนั้นฟางยู่เชินก็พยายามหาหัวข้อมาพูดคุยกับซ่างกวนหยวนอยู่ตลอดเวลา ส่วนซ่างกวนหยวนเอาแต่นั่งฟังอย่างเงียบเชียบ บางครั้งก็พูดออกมาหลายประโยคบ้าง บรรยากาศดีกว่าเมื่อคืนเป็นไหนๆ
ฟางยู่เชินช้อนตามองซ่างกวนหยวนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ควานหาของขวัญจากกระเป๋าเสื้อ เมื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยื่นออกไป
“คุณหนูซ่างกวน ตอนที่ผมซื้อของให้แม่อยู่นั้น ผมเห็นสร้อยเส้นนี้ เลยรู้สึกว่ามันเหมาะสมกับคนมาก จึงซื้อมาอย่างอดใจไม่ไหว”
ซ่างกวนหยวนเหลือบมองกล่องผ้าสักกะหลากสีน้ำเงินที่อยู่ในมือของเขา จึงได้วางส้อมลง และหยิบทิชชูเปียกขึ้นมาเช็ดมุมปากของตนเอง จากนั้นก็เอาแต่มองเขาอย่างนิ่งเงียบ
“ผมให้คุณ” ฟางยู่เชินกล่าวออกมา
เขาคิดว่าเธอจะทำตัวเหมือนกับตอนที่รับดอกไม้ คือการรับกล่องเอาไว้
แต่เปล่าเลย
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้นเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย พลันถามย้ำอีกครั้ง “อันนี้ผมให้คุณ”
ซ่างกวนหยวนได้แต่ยิ้มให้เล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ ของขวัญที่ราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้ฉันรับมันไว้ไม่ได้”
รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของฟางยู่เชินแข็งทื่อ “ทำไมล่ะ?”
ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนโง่ที่ไม่เข้าใจเรื่องความรักซะหน่อย ฉะนั้นเธอมองแวบเดียวก็มองออกว่าเขานั้นมีใจให้ตนเอง
แต่ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขานี่
หลังจากที่รับของขวัญจากเขาแล้ว มันยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดอีก ไม่งั้นคุยกับเขาให้ตรงๆ ตั้งแต่ต้นเลย
“ขอบคุณที่วันนี้คุณส่งดอกไม้ให้ฉัน แถมยังเลี้ยงข้าวฉันอีก ฉันหวังว่าเราไม่ได้ร่วมมือในทางธุรกิจเท่านั้น เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย”