ฝู้จิงเหวินที่ได้รับอนุญาตจากเบอร์เกน พักผ่อนตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์เต็มก่อนจะกลับไปเริ่มงานทีมวิจัยใหม่
ครั้งนี้เขาเข้าร่วมทีมของศาสตราจารย์คูรี่
ทีมของศาสตราจารย์คูรี่เชี่ยวชาญด้านไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ในเวลาเดียวกันได้ทำการศึกษายาต้านไวรัสด้วย
ในที่สุดเขาก็ได้สมดังใจหวัง
เข้าไปในห้องแล็บ ฝู้จิงเหวินมองอุปกรณ์ทดลองที่คุ้นเคยรอบห้อง ในใจตื่นเต้นจนควบคุมไว้ไม่อยู่
แต่ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย
“ศาสตราจารย์คูรี่”
ต่อหน้าศาสตราจารย์คูรี่ สีหน้าเขาเรียบราวกับน้ำนิ่ง สายตามองตรงไม่วอกแวก
ศาสตราจารย์คูรี่เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับคนข้างๆ ว่า “ภารกิจในวันนี้คือการสร้างไวรัสสายพันธุ์ใหม่ คอยสังเกตพฤติกรรมของมัน”
เขาไม่สนใจฝู้จิงเหวิน ทำเหมือนฝู้จิงเหวินไม่มีตัวตน
ฝู้จิงเหวินก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่มีความหงุดหงิดหรือโมโห ขณะนี้ ข่ายสื้อลินเดินเข้ามา เห็นเขายืนนิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“คุณทำอะไรอยู่” เธอเดินไปหาฝู้จิงเหวิน และส่งเสียงถามออกมา
ฝู้จิงเหวินเหลือบมองเธอแล้วตอบอย่างใจเย็น “กำลังรอให้ศาสตราจารย์คูรี่มอบหมายงาน”
เมื่อได้ยินดังนั้นข่ายสื้อลินจึงหันไปมองศาสตราจารย์คูรี่ที่กำลังคุยกับคนอื่นๆ แล้วมุมปากก็กระตุกยิ้มเยาะสะใจ “เขาไม่สนใจคุณ ถูกไหม”
ฝู้จิงเหวินดวงตาแวบแสงเล็กน้อย ไม่ตอบคำ
ข่ายสื้อลินกอดอกพลางส่ายหน้าและส่งเสียงจุ๊ๆ “เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังนำความอัปยศมาสู่ตัวเอง คุณน่าจะรู้ดีว่าศาตราจารย์คูรี่เป็นพวกลำเอียง วันนั้นที่คุณทะเลาะกับชาร์ส ใจเขาต้องเกลียดคุณเข้ากระดูกดำไปแล้ว
ไม่อยากเชื่อว่าคุณยังยื่นคำร้องไปยังคุณเบอร์เกนว่าขอเข้าทีมเขา สมองไม่ฉลาดเลยนะ”
ฝู้จิงเหวินฟังเงียบๆ ไม่มีการโต้แย้ง เพราะว่าเธอพูดไม่ผิด
ศาสตราจารย์คูรี่กำลังกดให้เขารู้สึกแย่ ให้เขารู้ว่าในสถาบันวิจัยนี้ใครมีอิทธิพลที่สุด
เห็นเขาเงียบ เปลวไฟที่ไม่รู้จักก็พุ่งเข้ามาในจิตใจ ข่ายสื้อลินสูดหายใจเข้าลึกอดกลั้น “ถ้าคุณไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้ ก็ออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเองเถอะ”
ฝู้จิงเหวินลดสายตาลงมองเธออย่างเย็นชา และพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ผมออกไปไม่ได้”
กว่าเขาจะยื่นคำร้องเข้าทีมนี้ได้มันไม่ง่าย ถ้ายังไม่ได้ยากำจัดไวรัสในตัวสื้อสื้อ เขาไม่มีทางออกไป
เพราะรู้ความปรารถนาในใจเขาอย่างชัดเจน ข่ายสื้อลินจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เธอพูดเสียงกดต่ำอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไร ถึงทำให้คุณตกอยู่ในสภาพนี้ได้”
“ความดีของเธอ คุณไม่สมควรรู้”
ฝู้จิงเหวินเหลือบมองเธออย่างเย็นชา เขาเดินผ่านหน้าเธอที่กำลังโกรธจัดไปหาศาสตราจารย์คูรี่
ผู้ชายเฮงซวย!
ข่ายสื้อลินหันหน้าไปจ้องเขาอย่างเกลียดๆ จ้องอย่างหวังว่าจะทะลุแผ่นหลังเขาได้
เมื่อฝู้จิงเหวินเข้ามาหา ศาสตราจารย์คูรี่เหลือบมองเห็นเขาจากหางตา เดิมทีที่ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มก็เย็นชาลงฉับพลัน
“ศาสตราจารย์คูรี่” ฝู้จิงเหวินหยุดโดยห่างจากเขาสองก้าว
ศาสตราจารย์คูรี่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันหน้าไปเตรียมจะคุยกับคนอื่น
เมื่อเห็นดังนั้น ฝู้จิงเหวินจึงรีบเอ่ยปากว่า “ศาสตราจารย์คูรี่ คุณเบอร์เกนให้ผมเข้าร่วมทีมคุณ หากคุณต้องการอะไรก็สั่งผมได้”
นี่เอาเบอร์เกนมากดดันตนงั้นเหรอ
ศาสตราจารย์คูรี่หรี่ตา หันหน้าไปจ้องฝู้จิงเหวินด้วยสายตาคมเฉียบ “คุณใหญ่ขนาดนั้น ผมไม่กล้าสั่งคุณหรอก ไม่อย่างนั้นเกรงว่าผมคงต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานไปทั้งตัว”
น้ำเสียงมีแต่ความเย้ยหยันเหน็บแนม
ฝู้จิงเหวินไม่สนใจ ยิ้มอ่อนและพูดว่า “เรื่องวันนั้นผมใจร้อนเกินไป ขอศาสตราจารย์คูรี่อย่าถือสาหาความผม”
ศาสตราจารย์คูรี่สีหน้าเย็นชาไม่ตอบอะไร
ฝู้จิงเหวินมองคนอื่นแล้วพูดต่อไปว่า “พวกเราล้วนแล้วแต่ทำงานให้คุณเบอร์เกน ผมหวังว่าเราจะสามารถเข้ากันได้ ปล่อยเรื่องไม่ดีในอดีตให้มันผ่านไป”
เขาที่เป็นคนอายุน้อยสามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ ถ้าตนใช้ทัศนคติแบบนั้นกับเขาอีกครั้ง จะไม่เป็นการแสดงให้เห็นว่าตนเป็นคนใจแคบหรอกหรือ
หลังจากไตร่ตรอง ศาสตราจารย์คูรี่จึงพูดอย่างไม่ฝืนใจแต่ก็ไม่ได้เต็มใจนักว่า “คุณพูดถูก ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป ที่สำคัญสุดคือการวิจัย และเราทุกคนร่วมมือกันได้นั่นถึงจะสำคัญ”
ถึงจะรู้ว่าศาสตราจารย์คู่รี่ไม่ได้พูดจากใจจริง แต่สำหรับฝู้จิงเหวิน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ตราบใดที่เขาสามารถเข้าวิจัยได้ ตนเองจะต้องลดตัวแค่ไหนก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ข่ายซื่อลินมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้าเหยียดหยัน
ผู้ชายอย่างฝู้จิงเหวิน เพื่อผู้หญิงคนเดียวแม้แต่กระดูกสันหลังก็ไม่มีได้
น่าผิดหวังจริงๆ!
เธอส่งเสียงเยาะแล้วหันหลังก้าวยาวออกไป
……
เช้าวันรุ่งขึ้นเจียงสื้อสื้อตื่นขึ้นมา จิ้นเฟิงเฉินไม่อยู่แล้ว
เธอลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นร่างของจิ้นเฟิงเฉิน
คิ้วเรียวขมวดอย่างช่วยไม่ได้ เขาไปไหนแต่เช้า
หลังจากอาบน้ำเสร็จจึงลงไปข้างล่าง ทันทีที่เห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินกำลังพูดคุยกับฟางเถิงอยู่ในห้องนั่งเล่น
เธอก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณน้าชายเล็ก อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เธอส่งเสียงทักอย่างน่ารัก
ฟางเถิงยิ้มอย่างอบอุ่น “อรุณสวัสดิ์จ้ะสื้อสื้อ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วเดินไปนั่งข้างจิ้นเฟิงเฉิน ก่อนจะกระซิบถามว่า “ทำไมคุณตื่นแต่เช้า”
เมื่อคืนเขาทำงานจนดึกดื่นไม่ใช่เหรอ
“นอนไม่หลับ”
เมื่อคืนเขาคิดเรื่องเบอร์เกนกับไวรัสจนแทบไม่ได้นอนเลย กระทั่งรุ่งเช้าจึงลุกขึ้นมา
เจียงสื้อสื้อเห็นเขาใต้ตาดำคล้ำ จึงพูดอย่างปวดใจว่า “ถ้าอย่างนั้นรอจบอาหารเช้าแล้ว คุณไปนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก” จิ้นเฟิงเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมไม่เป็นไร คุณอย่ากังวลเลย”
ได้ยินการสนทนาของพวกเขาลางๆ ฟางเถิงจึงถามอย่างเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้น เฟิงเฉินไม่สบายเหรอ”
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าไปมองเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เปล่าหรอกค่ะ เขาแค่ไม่ได้นอนน่ะค่ะ”
ฟางเถิงยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ งั้นก็ไปพักผ่อนสักพักเถอะ คนที่ไม่ได้นอนหลับดี จะอารมณ์ไม่ดีไปทั้งวันนะ”
จิ้นเฟิงเฉินอยากบอกว่าไม่จำเป็น แต่เมื่อเห็นเจียงสื้อสื้อมีท่าทางกังวลมาก จึงพยักหน้ารับ “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปข้างบน”
ในที่สุดเจียงสื้อสื้อจึงยิ้มออก “ต้องให้คุณน้าชายเล็กพูดถึงจะได้ผลค่ะ”
“จริงเหรอ” ฟางเถิงหัวเราะอย่างภูมิใจเล็กน้อย
หลังจากอาหารเช้า จิ้นเฟิงเฉินจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้อง เจียงสื้อสื้อกับซ่างหยิงออกไปช็อปปิ้งด้วยกัน
“เราไปซื้อเสื้อผ้าก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยไปซื้อของขวัญให้น้าชายรองของเธอ” ซ่างหยินจัดกำหนดการเดินทางอย่างชัดเจน
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าพลางยิ้ม “เอาตามคุณน้าสะใภ้เล็กเลยค่ะ”
ถึงห้างสรรพสินค้า ซ่างหยิงจูงเจียงสื้อสื้อไปยังพื้นที่ชุดสตรี เดินดูไปทีละร้าน
เห็นอะไรที่เหมาะก็จะให้เจียงสื้อสื้อลอง
เจียงสื้อสื้อรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นลองเสื้อ น้าสะใภ้เล็กให้เธอลองก็ลอง แม้ว่าชุดจะไม่เหมาะกับตัวเองก็ยังลอง
กระทั่งสุดท้ายก็อ่อนใจ “คุณน้าสะใภ้เล็กคะ ฉันไม่อยากลองแล้วค่ะ ซื้อสักชุดตามที่ชอบเลยค่ะ”
ซ่างหยิงไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ เธอต้องลอง แบบนี้ถึงจะรู้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”
เธอมองๆ ดู แล้วหยิบชุดกระโปรงสีเขียวแกมเงินจากราวชุดกระโปรงมาให้เธอ
“ลองตัวนี้เถอะ”
เจียงสื้อสื้อก้มหน้าอย่างจำยอม รับกระโปรงเข้าไปในห้องลองชุดตามคำสั่ง