ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 1022 เฟิงเฉิน ฉันกลัวว่าฉันจะตาย

บทที่ 1022 เฟิงเฉิน ฉันกลัวว่าฉันจะตาย

เมื่อรู้ว่าเจียงสื้อสื้อตื่นแล้ว เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนอย่างรวดเร็ว​

ซ่างหยิงเป็นห่วงจนตะโกนตามหลัง “เดินระวังกันด้วย​เด็กๆ”

เด็กน้อยทั้งสองไม่ฟัง รีบวิ่งไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว​ เถียนเถียนหยุดลงกะทันหัน

เถียนเถียนเหลือบมองไปที่ประตูที่ปิดสนิท​อยู่ และกระซิบถามเสียงเบา “พี่ชายคะ หม่ามี๊จะยังโกรธหนูอยู่ไหม”

เสี่ยวเป่าเม้มริมฝีปาก และจับมือเธอไว้ “ไม่หรอก หม่ามี๊ไม่โกรธน้องหรอก พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

พอพูดจบ เขาก็เปิดประตู และเดินจูงมือเถียนเถียนเข้าไปในห้อง

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เจียงสื้อสื้อก็หันศีรษะและมองไปที่ประตู ตอนที่เธอเห็นเด็กสองคน มุมปากของเธอก็ยกยิ้ม

เถียนเถียนเงยหน้าขึ้นพอสบตาเข้ากับเธอ เด็กน้อย​รีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองเธอ

เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย

เสี่ยวเป่าพาเถียนเถียนเดินไปที่ข้างเตียง

หม่ามี๊ครับ หม่ามี๊เป็นยังไง​บ้างครับ รู้สึกไม่สบายตรงไหนครับ” ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์​ของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความกังวลใจ​

เจียงสื้อสื้อเอื้อมมือไปแตะศีรษะของเขา และตอบเสียงอ่อนโยนว่า “หม่ามี๊ไม่เป็นไร​จ้ะ ไม่มีตรงไหน​เจ็บ​แล้ว​”

เสี่ยวเป่าหันกลับ และมองไปยังน้องสาวของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ “เถียนเถียน น้องก็มาคุยกับหม่ามี๊ด้วยสิ”

เถียนเถียนกัดริมฝีปากแน่น​ เด็กน้อยไม่คิดเลยว่าเป็นเพราะเรื่อง​ของ​ตนเองทำให้หม่ามี๊​เธอเป็นลมหมดสติ​ไป ขอบตา​ของเด็กน้อย​แดงก่ำ

เธอเป็นเด็กไม่ดี

“เถียนเถียน” เจียงสื้อสื้อเอ่ยเรียกออกมาอย่างอ่อนโยน​

เถียนเถียน “แง”ส่งเสียง​ร้องไห้​โฮออกมา

เจียงสื้อสื้อตกใจมาก เธอรีบเอื้อมมือออกไปเพื่อดึงเข้ามา​กอดไว้ “เถียนเถียน ร้องไห้ทำไมลูก”

“หนู​ทำให้หม่ามี๊เป็นลม หนู… หนูเป็นเด็กไม่ดี” เถียนเถียนพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย หยดน้ำตาไหลริน​เหมือนลูกปัด​ที่สายขาด

ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำ

เจียงสื้อสื้อรู้สึกเป็นปวดใจมาก เธออุ้มเด็กน้อย​เข้าสู่​อ้อมกอด และเช็ดน้ำตาให้ในขณะที่พูด “ที่หม่ามี๊เป็นลมหมดสติ​มันไม่ใช่ความผิดของลูกเลยนะ สำหรับหม่ามี๊​แล้ว​ลูกเป็นในหัวใจของหม่ามี๊​เสมอ”

เมื่อได้ยินแบบนี้​ เถียนเถียนก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองเธอด้วยดวงตา​ที่มีน้ำตาคลอเบ้า “หม่ามี๊ไม่โกรธจริงๆ​นะ​คะ​”

“ใช่จ้ะ…” เจียงสื้อสื้อนิ่งคิดอย่างจริงจัง แล้วตอบ “หม่ามี๊ไม่ได้โกรธ ในตอนนั้น​หม่ามี๊แค่ร้อนใจ เพราะลูกกินไอศกรีมไม่ได้ ไม่ใช่​หรือไง”

เถียนเถียนก้มหน้าลง แล้ว​ทำปากจู๋​ “เถียนเถียนรู้ค่ะ แต่เถียนเถียนอยากกินนี่นา”

เจียงสื้อสื้อหัวเราะ “หม่ามี๊ก็อยากกินเหมือนกัน แต่หม่ามี๊รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ก็เลยต้องอดทน​ไว้ เถียนเถียนของแม่ต้องทำได้แน่นอน​ จริงไหม”

เถียนเถียนไม่ตอบ

มันไม่ง่ายเลยที่เด็กน้อย​จะควบคุมตัวเองได้

แต่เจียงสื้อสื้อเชื่อใจในตัวลูกของเธอ

ผ่านไปสักพัก​ เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นมา “หม่ามี๊ทำได้ เถียนเถียนก็ต้องทำได้ค่ะ”

พอได้ยิน​แบบนี้​เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มออกมาทันที เธอลูบศีรษะ​ของเถียนเถียน “เป็นเด็กดีจริงๆ”

เธอปล่อยเถียน​เถียนออกจากอ้อมกอด และมองดูเด็กน้อยทั้งสองคนด้วยสีหน้า​จริงจัง “หลายวันนี้พวกลูกต้องฟังที่คุณปู่คุณ​ย่า เข้าใจไหมลูก”

เด็กน้อยทั้งสองคนพยักหน้าและตอบพร้อมกัน “เข้าใจแล้วครับ/ค่ะ”

ในขณะนี้เอง ซ่างหยิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำซุปหนึ่งชามในมือ“กำลังพูดอะไรกันอยู่​เด็กๆ”

“คุณยายซ่างหยิงครับ/คะ” เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนตะโกนเรียกพร้อมกันเสียงดัง

ซ่างหยิงยกยิ้ม “เด็กดี”

เธอวางชามไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วมองไปที่เจียงสื้อสื้อ “นี่คือซุปปลาที่น้าเคี่ยวเอง หลานดื่มในขณะที่มันร้อนๆนะลูก​”

“ขอบคุณค่ะน้าสะใภ้เล็ก”

เจียงสื้อสื้อรับน้ำซุป​มาอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับ​ก้มหน้าลงไปดื่มช้าๆ

ซ่างหยิงนั่งลงที่ขอบเตียง มองหน้า​เธออย่างละเอียด​ แล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อาการดีขึ้น​บ้างหรือยัง​”

เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นมา “อืม ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”

“ทำไมอยู่ดีๆถึงเป็นลมได้ล่ะ” ซ่างหยิงยิงถามด้วยความรู้สึกงงงวย

ตอนที่​ยู่เชินเล่าให้เธอฟัง เธอก็ตกใจ แล้วรีบกลับจากโรงพยาบาลมาทันทีเลย

“คงเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ​ค่ะ” เจียงสื้อสื้อจิบน้ำซุป และอ้างเหตุผลออกมามั่วๆ

เธอไม่คิดจะบอกความจริงกับน้าสะใภ้เล็ก สาเหตุ​หลัก​คือเธอกลัวว่าถ้าอีกฝ่าย​รู้ ท่านจะต้อง​เป็น​ห่วงมากแน่ๆ

ซ่างหยิงเชื่อในสิ่งที่เธอพูด จึงรีบเปลี่ยนเป็น​สีหน้า​จริงจังขึ้นมาทันที “ร่างกายหลานอ่อนแอ​มาก น้าต้องหาอะไรมาบำรุงเยอะๆแล้ว”

“ไม่ต้องหรอกค่ะน้าสะใภ้เล็ก” เจียงสื้อสื้อรีบพูดคัดค้าน​ “หนู​พักผ่อนเยอะๆก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องบำรุงหรอกค่ะ”

เธอกลัวจริงๆว่าเธอจะต้องดื่มน้ำซุปแบบนี้และน้ำซุปแบบอื่นๆทุกวัน

“ไม่ได้นะลูก​ มันต้องบำรุงให้มาก” สีหน้า​ของซ่างหยิงหนักแน่นมาก

เจียงสื้อสื้อยิ้มแหย เธอ​ รู้ว่าตัวเองไม่สามารถคัดค้าน​ได้ จึงได้แต่จำยอม “ลำบากน้าสะใภ้เล็กจริงๆค่ะ”

“ไม่ลำบากเลย ขอแค่หลานอาการดีขึ้น ทำน้ำซุปแค่นี้ไม่ลำบากอะไรเลยจ้ะ”

เมื่อเห็นซ่างหยิงที่ปฏิบัติ​กับเธอเหมือนลูกสาวของตนเอง เธอรู้สึกดีใจและ​ซาบซึ้ง​ใจมาก ดวงตาของเจียงสื้อสื้อเริ่มชื้นเล็กน้อย

เธอรีบกะพริบตาอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มและพูดอย่างขบขัน​ “ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ร่างกาย​จะดีขึ้น แต่คงจะอ้วนด้วยค่ะ”

“ไม่ต้อง​ห่วงจ้ะ ถึงแม้ว่าหลานจะอ้วนขึ้นห้ากิโลกรัม​หรือสิบกิโล​กรัม หลานก็ยังสวยมาก”

การปลอบโยนของซ่างหยิงทำให้เจียงสื้อสื้อไม่รู้​ว่า​ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “งั้นหนูคงต้องเป็นคนอ้วนที่ดูสวยแล้วล่ะค่ะ”

“อ้วนก็อ้วนเถอะจ้ะ ขอแค่เฟิงเฉินไม่รังเกียจ​ก็พอแล้ว​”

เมื่อเห็นว่าซุปยังไม่หมด ซ่างหยิงจึงบอกให้เธอดื่มเร็วๆ และพาเด็กทั้งสองคนลงไปข้างล่างพร้อมกับเธอ

หลังจากดื่มน้ำซุปหมดแล้ว เจียงสื้อสื้อก็นั่งพิงหัวเตียง แล้วมองขึ้นไปบนเพดานด้วยความรู้สึก​เศร้าเล็กน้อยที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

ตราบใดที่ไวรัสอยู่ในร่างกายของเธอ เธอก็ยังมีอันตราย​อยู่​

แล้วอีกอย่าง เธอไม่รู้ว่าเธอจะรอจนกว่ายากำจัดไวรัสจะพัฒนา​ออกมาได้หรือเปล่า​

พอคิดว่าตัวเองอาจจะต้องตาย เธอก็รู้สึกหวาดกลัว​และเสียใจ​แล้ว

เธอไม่อยากตาย

เธอตกอยู่ในภวังค์​ความตื่นตระหนกและหวาดกลัว โดยไม่ได้สังเกตว่าจิ้นเฟิงเฉินเข้ามาในห้องแล้ว

จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาใกล้ พอเห็นสีหน้า​ที่ตระหนักถึงความสิ้นหวังและความโศกเศร้าของเธอ เขาจึงอดที่จะดึงเธอเข้ามากอดไม่ได้

“สื้อสื้อ” เขาเรียกเบาๆ

เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจียงสื้อสื้อก็รีบปรับอารมณ์​ของ​เธอ​ แล้ว​เงยหน้าขึ้นมองเขา แสร้งทำเป็นไม่พอใจ“คุณ​เข้ามาไม่ให้​ซุ่ม​ไม่ให้เสียง ฉันตกใจหมดเลย”

จิ้นเฟิงเฉินมองไปที่เธอนิ่ง “เมื่อตะกี้​คุณกำลังคิดอะไรอยู่”

เจียงสื้อสื้อชะงักงัน​ “เมื่อตะกี้ เมื่อตะกี้​ฉันคิดอะไรด้วยเหรอคะ”

เธอกลอกตาไปมาอย่างร้อนตัว​ และ​เธอไม่กล้ามองหน้าเขา

เธอไม่อยากให้เขารู้ถึงความกลัวของเธอ ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง

จิ้นเฟิงเฉินถอนหายใจออกมา“สื้อสื้อ คุณ​คิดว่าคุณ​ทำสีหน้า​แบบนี้แล้วผมจะไม่เป็นห่วงคุณ​อย่างนั้น​เหรอ​”

เจียงสื้อสื้อกัดริมฝีปากของเธอแน่น และไม่พูดอะไร

“เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังกลัว แต่กลับ​บอกผมว่าคุณไม่กลัว คุณคิดว่าฉันจะสบายใจ​ได้​จริงๆหรือไง”

“ต่อหน้าผม คุณไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง คุณกลัวก็บอกว่ากลัว เสียใจก็บอกว่าเสียใจ คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังอารมณ์ใดๆทั้งนั้น​”

น้ำเสียง​ของจิ้นเฟิงเฉินอ่อนโยนมาก อ่อนโยนมากจนเจียงสื้อสื้อเริ่มน้ำตาเริ่มคลอ ก่อนที่น้ำตาจะไหลพรั่งพรู​ออกมาเป็นสาย

เมื่อเห็นแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดึงเธอเข้ามากอด แล้วลูบผมนุ่ม ๆ ของเธออย่างอ่อนโยน​ ราวกับว่าเขากำลังดูแล​ของสำคัญ​ที่​สุด​ใน​ชีวิต​

เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่กอดเธอไว้เงียบ ๆ

เจียงสื้อสื้อร้องไห้สักพัก​ เธอก็เม้มปากและเงยหน้าขึ้น

เขาเองก็ก้มหน้าลง ทำให้​สายตา​ทั้งสองคู่สบตากันพอดี

“เฟิงเฉินคะ ข้ากลัวว่าตัวเองจะตาย”

ทันทีที่คำว่า “ตาย” ออกจากปากของเธอ จิ้นเฟิงเฉินเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังฉีกหัวใจของเขาอย่างรุนแรง​

จนหัวใจแตกสลาย​ย่อยยับ​ เจ็บปวด​ราวกับร่างกาย​ถูก​ฉีกขาด​ออกจากกัน

จิ้นเฟิงเฉินควบคุม​อารมณ์ตัวเอง​ ก่อนจะยิ้มละไม ​และพูดปลอบโยน​ “ไม่ต้องกลัวครับ ผมอยู่กับคุณ​เสมอ”

น้ำเสียงของเขาอบอุ่น​และนุ่มนวลราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านเข้ามาในหัวใจของเจียงสื้อสื้อ เพื่อขจัดหมอกควันที่ปกคลุมในหัวใจของเธอออกไป

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน