เมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็น ซ่างหยิงเอ่ยถึงเค้าที่ส่อให้เห็นว่าคุณท่านกำลังจะฟื้นมาแล้วออกมา ฟางเถิงและฟางยู่เชินต่างดีใจและประหลาดใจมาก
“แม่ครับ แม่พูดจริงเหรอครับ?” ฟางยู่เชินถามอย่างไม่แน่ใจ
“จริงอยู่แล้วสิ ลูกไม่เชื่อก็ถามสื้อสื้อดูสิ”
ฟางยู่เชินหันไปมองเจียงสื้อสื้อ
สื้อสื้อเม้มปากยิ้มและพูดอย่างจริงจังขึ้นว่า “พี่ชายคะ มันเป็นเรื่องจริงค่ะ วันนี้คุณตาขยับนิ้ว คุณหมอบอกว่าอาจจะฟื้นขึ้นมาในเร็วๆ นี้แล้ว”
ทันทีที่ฟางเถิงได้ฟัง ก็เอาแต่พูดว่า “ดีเหลือเกิน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงตาของเขาเห็นว่ากำลังแดงก่ำได้อย่างชัดเจน
มุมตาของฟางยู่เชินก็เปียกชุ่มเช่นเดียวกัน เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กลั้นน้ำตากลืนกลับไป ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุขว่า “ดีจริงๆ เลย คุณปู่กำลังจะฟื้นแล้ว”
“ยู่เชิน ในวันพรุ่งนี้ลูกต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยนะ แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังที่คาดหวังในตัวของแก” ฟางเถิงพูดอย่างจริงจัง
“ครับพ่อ ผมรู้ครับ”
สำหรับวันพรุ่งนี้ ฟางยู่เชินเชื่อว่าสิ่งต่างๆ จะสามารถบรรลุผลสำเร็จได้อย่างราบรื่น
เจียงสื้อสื้อกำหมัดแน่น “พี่ชาย สู้ๆ นะคะ”
ฟางยู่เชินหัวเราะ “อืม ฉันจะทำให้ดีที่สุด”
วันรุ่งขึ้น การประชุมคณะกรรมการบริษัทถูกจัดขึ้นตามกำหนด
ห้องประชุมขนาดใหญ่ เงียบสงัดไร้เสียงคุย ทุกคนต่างนายมองฉัน ฉันมองนายอยู่แบบนั้น ราวกับกำลังรอว่าใครจะเริ่มเปิดประเด็นก่อน
“อะแฮ่ม!” ท่านหยางกระแอมออกมาเบาๆ เสียงอึกทึกดังสะท้อนขึ้นภายในห้องประชุม “ทุกคนมาที่นี่ในวันนี้ ต่างมาเพื่อผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ฉะนั้นอีกสักครู่ ความดุเดือดเลือดพล่านของแต่ละคนอย่าให้มันมากเกินไปนัก รับฟังให้อภัยยู่เชินให้มาก ถือเสียว่าไว้หน้าคนแก่ชราอย่างฉัน”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านหยางยังคงยืนอยู่ฝั่งฟางยู่เชินตลอดอย่างไร้เงื่อนไข
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฟางยู่เชินรู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาสิ่งยิ้มให้ผู้อาวุโส “ปู่หยาง ขอบคุณท่านมากครับ”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนขอบคุณฉัน ถ้าวันนี้นายไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจกับทุกคนได้ ฉันจะเป็นคนแรกที่ด่านายเลย” ท่านหยางหน้านิ่ง
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ผมรู้ครับ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและมองไปที่ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในห้อง และพูดขึ้นเสียงดังว่า “เรื่องไฟไหม้โกดัง ทุกคนต่างก็รู้ แต่พวกท่านไม่รู้ว่าในคืนที่เกิดเพลิงไหม้ มีคนแอบลักลอบขนส่งยาจำนวนหนึ่งออกไปจากโกดัง”
ทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกไป ทุกคนต่างตกตะลึงกันหมด
ท่านหยางมองไปที่คนอื่นๆ และเป็นคนนำตั้งคำถามขึ้นมาว่า “ยู่เชิน ที่พูดมานี้หมายความว่ายังไง อะไรคือมีคนแอบลักลอบขนส่งยาจำนวนหนึ่งออกไป?”
“ปู่หยาง ท่านอย่าพึ่งร้อนใจไป ฟังผมค่อยๆ เล่า”
“ได้ นายว่ามา”
จากนั้นฟางยู่เชินก็พูดต่อว่า “สิ่งนี้ถูกค้นพบในภายหลัง หลังจากที่ผมส่งคนไปตรวจสอบ ไฟไหม้โกดังในครั้งนั้น มียาจำนวนมากถูกเผาไปก็จริง แต่ก็ไหม้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”
“ในที่เกิดเหตุ พวกเราตรวจพบว่าใบคริสต์มาสกับโหราเดือยไก่ที่เก็บไว้ด้านในสุดของโกดัง ถูกเผาจนหมดไม่มีเหลือ”
“พวกท่านน่าจะทราบดีว่าไฟเริ่มไหม้จากด้านนอกเข้าไปด้านใน แต่ยาที่อยู่ใกล้กับโหราเดือยไก่กลับไม่ถูกเผาไหม้เลยสักนิด”
มีคนรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ “คุณหมายถึงว่าก่อนเกิดไฟไหม้ มีคนเคลื่อนย้ายใบคริสต์มาสกับโหราเดือยไก่ออกไปก่อนแล้ว คุณหมายความอย่างนั้นใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ครับ” ฟางยู่เชินพยักหน้า “ผมได้ขอให้คนเข้ามาทำการทดสอบขี้เถ้าจากที่เกิดเหตุ แต่มันไม่มีโหราเดือยไก่กับใบคริสต์มาสเลย”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ท่านหยางคาดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์มันจะเป็นแบบนี้ไปได้
คนอื่นๆ ก็ตกใจมากเช่นกัน แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ฟางยู่เชินพูดต่ออย่างใจเย็น “ก่อนหน้านี้ไม่นาน พี่ชายของผม ซึ่งก็คือรองประธานฟาง ฟางอี้หมิง ได้ทำการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายยากับทางSAกรุ๊ปของต่างประเทศเป็นการส่วนตัว ซึ่งในสัญญาระบุเป็นใบคริสต์มาสกับโหราเดือยไก่พอดี”
นี่มันเหมือนลูกระเบิดขนาดใหญ่ลง ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เดิมทีพวกเขาคิดว่าเป็นโจรขโมยจากภายนอก แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นโจรขโมยจากภายใน
“ยู่เชิน นายอย่าพูดบ้าๆ นะ นายมีหลักฐานหรือเปล่า?”
คนที่เอ่ยถามขึ้นคือผู้ถือหุ้นที่ยืนอยู่ฝั่งของฟางอี้หมิง ตอนนี้สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก เขากังวลมากว่าตัวเองจะเลือกยืนผิดฝั่ง
ฟางยู่เชินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ค่อยๆ หยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นอย่างเชื่องช้า “นี่คือใบขนสินค้าขาออก คนยื่นใบคนส่งคือย่วนชิงโซง ซึ่งที่น่าบังเอิญก็คือ เขาเป็นอาของฟางอี้หมิง”
หลังจากนั้นเขาก็หยิบปากกาบันทึกเสียงออกมา ก่อนจะกดเล่นเสียงบันทึก
“ใช่แล้ว อี้หมิงเป็นคนขอให้ฉันช่วยเขายื่นเรื่องใบขนส่งสินค้าขาออก…”
หลังจากทุกคนได้ฟัง พวกเขาทั้งหมดต่างทำหน้าไม่น่าเชื่อ
“เสียง…เสียงบันทึกคงไม่ได้หาคนมาพูด เพื่อใส่ร้ายฟางอี้หมิงหรอกใช่ไหม?” ยังเป็นคนนั้นเหมือนเดิมที่ตั้งคำถาม
ฟางยู่เชินเลิกคิ้ว “ถ้าพวกท่านไม่เชื่อ ผมสามารถพาคนมายันกันต่อหน้าได้นะครับ”
ก่อนที่คนคนนั้นจะเอ่ยปากพูด ท่านหยางก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน “ไม่จำเป็นหรอก นายให้คนไปเรียกอี้หมิงมา”
“ครับ”
ฟางยู่เชินเรียกส้งหยาวเข้ามา “นายไปหารองประธานฟาง ให้เขามาที่ห้องประชุมเดี๋ยว”
“ครับ” ส้งหยาวรับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไป
…
ในขณะเดียวกัน ฟางเฉิงที่อยู่ในห้องทำงานของลูกชาย กระวนกระวายใจเดินไปเดินมาเหมือนมดบนกระทะร้อน
ฟางอี้หมิงเริ่มรำคาญ “พ่อ พ่อหยุดก่อนได้ไหม? ผมเวียนหัวไปหมดแล้ว”
ฟางเฉิงชะงักฝีเท้า แล้วเดินเข้าไปหาเขา “อี้หมิง ลูกไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือยังไง? ตอนนี้การประชุมบอร์ดบริหารได้เริ่มขึ้นแล้วนะ”
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ร้อนใจไปจะมีประโยชน์อะไรล่ะ”
ฟางอี้หมิงก็รู้ว่าตัวเองจิตใจไม่สบายใจเอามากๆ แต่น่าแปลกที่เขากลับสามารถนิ่งสงบได้มากขนาดนี้
อันที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย พวกเขาได้คิดหาวิธีจัดการกับมันเอาไว้หมดแล้ว
ฟางเฉิงถอนหายใจ “ลูกพูดถูก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
ทันทีที่คำพูดนี้เปล่งออกไป จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงของเลขาพูดขึ้นว่า “ท่านรองประธาน ผู้ช่วยส้งให้ท่านไปที่ห้องประชุมค่ะ ท่านประธานเรียกหาท่าน”
ฟางอี้หมิงฉีกมุมปากขึ้นยิ้ม “พ่อ มันมาถึงแล้วนี่ไง”
เขาจัดระเบียบชุดสูทของตัวเอง ก่อนจะเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “พ่อ พวกเราไปกันเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เดินนำออกไปก่อนทันที
ฟางเฉิงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนจะรีบเดินตามออกไป
ทันทีที่เดินออกจากห้องทำงาน ก็เห็นส้งหยาวกำลังมองมาที่ตนด้วยสีหน้าว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
ฟางอี้หมิงยิ้ม “ผู้ช่วยส้ง ต้องลำบากให้คุณมาตามเลย”
“ท่านรองประธาน เชิญ” ส้งหยาวทำท่าทางเชื้อเชิญ
ฟางอี้หมิงเก็บรอยยิ้ม ใบหน้าเคร่งขรึม สาวก้าวยาวเดินไปทางลิฟต์
เมื่อมาถึงที่หน้าประตูห้องประชุม ฟางอี้หมิงชะงักฝีเท้าหยุดลงอย่างกะทันหัน
เห็นดังนั้นส้งหยาวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านรองประธาน ท่านเป็นอะไรไปครับ?”
“ไม่มีอะไร” ฟางอี้หมิงเอื้อมมือไปผลักประตูเปิดออก
ทันใดนั้นเอง สายตาของทุกคนก็หันมองมาที่เขาทั้งหมด
เขาเดินเข้าไปหาฟางยู่เชินทีละก้าวๆ
“พี่ชาย” ฟางยู่เชินมองเขาด้วยใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง
ฟางอี้หมิงหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
“ฉันพาพ่อของฉันมาสารภาพผิด” ฟางอี้หมิงเอ่ยปากพูด
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของฟางยู่เชินก็พลันหายไปทันที คิ้วขมวดเข้าหากัน ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่ามันเรื่องอะไร ก็เห็นฟางเฉิงพุ่งตามเข้ามา
ฟางเฉิงก้าวเข้าไปสามสี่ก้าว คุกเข่าลงตรงหน้าเขา พลางตบหน้าของตัวเองและพูดไปด้วยว่า ““ยู่เชิน เป็นความผิดของฉันทั้งหมด ทั้งหมดเป็นเพราะภูตผีมันดลบันดาลใจจนฉันทำเรื่องที่ทำร้ายบริษัทลงไป ถ้านายอยากโทษก็โทษฉันเถอะ”
สถานการณ์กะทันหันเช่นนี้ ทำให้ฟางยู่เชินมึนงงสับสนเล็กน้อย
เป็นท่านหยางที่แก่ประสบการณ์ เขายังคงเอ่ยถามขึ้นอย่างใจเย็นว่า “อาเฉิง นี่นายกำลังทำอะไร?”