ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 1774 : เสี่ยวเสียก่อเรื่อง

ตอนที่ 1774 : เสี่ยวเสียก่อเรื่อง
  หากไม่ใช่เพราะเขตหวงห้ามต้องมีต้นไม้โกลาหลประจำการ จางหยูคงไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไป
นี่ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของต้นไม้เลย บทบาทของมันเพียงอย่างเดียวก็มีเหตุผลเป็นร้อยๆข้อที่จางหยูอยากจะให้มันอยู่ต่อ
น่าเสียดายที่จางหยูไม่หน้าด้านพอ หากเขาเห็นแก่ตัวและไม่สนใจการอยู่รอดของโกลาหล เขาก็สามารถบังคับให้ต้นไม้อยู่นี่ต่อ
“เดิมทีข้าก็คิดว่าบรรพชนกระดูกนั้นแข็งแกร่งและอยู่มานานที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าต้นไม้จะน่ากลัวกว่า” จางหยูอดไม่ได้ที่จะทึ่งกับความแข็งแกร่งของต้นไม้โกลาหล
แม้ว่าบรรพชนกระดูกจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แกร่งเพียงพอจนมองราชาคนอื่นๆไม่มีค่า แต่ต้นไม้นี้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะมองข้ามทุกคนไป มันมีความต่างระหว่างทั้งสองอย่างมาก  ต้นไม้โกลาหลนั้นแกร่งเกินกว่าราชา มันได้ขึ้นไปยังขอบเขตที่สูงกว่า !
ในขอบเขตนี้จางหยูไม่รู้ว่ามันคือขอบเขตระหว่างราชาและจ้าวโกลาหลรึไม่ ?
“ ไม่รู้ว่าจิตในสุสานกับต้นไม้นี้ใครจะเหนือกว่ากัน ?” จางหยูคิดถึงจิตลึกลับในสุสาน
ฝ่ายหนึ่งควบคุมปราณสุสานได้ อีกฝ่ายควบคุมพลังโกลาหลในเขตหวงห้ามได้ ทั้งสองเป็นตัวตนที่บดขยี้ราชาได้
เมื่อคิดถึงจิตในสุสาน จางหยูก็แสดงสีหน้าหนักใจออกมา “ หากความแข็งแกร่งของจิตนั้นทัดเทียมกับต้นไม้โกลาหล…แผนการสำรวจสุสานก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน”
ก่อนหน้านี้จางหยูรู้แค่ว่าจิตสุสานนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แต่แกร่งแค่ไหนนั้นเขาไม่รู้ ในมุมมองของเขาแล้วจิตสุสานแกร่งกว่าราชาคนอื่นๆ ความแข็งแกร่งแบบนั้นแม้ว่าจะเป็นภัยต่อจางหยู แต่ตราบใดที่จางหยูระวังตัวมากพอ เขาก็มั่นใจว่าจะหนีออกมาได้ แต่หลังจากรู้ความแข็งแกร่งของต้นไม้โกลาหล จางหยูก็เปลี่ยนความคิด ความแข็งแกร่งของจิตสุสานนั้นต้องมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ แม้แต่ต้นไม้โกลาหลก็ยากที่จะเผชิญหน้ากับมันได้ !
ต้นไม้โกลาหลแข็งแกร่งแค่ไหน ?
ควบคุมพลังโกลาหลในเขตหวงห้ามได้ พลังแบบนี้แค่คิดก็ขนลุกแล้วแต่ต้นไม้โกลาหลกลับไม่อาจจะทำอะไรบอลโลหิตได้เลย มันไม่อาจจะต้านทานการกลืนกินพลังโกลาหลของบอลโลหิตได้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่าบอลโลหิตนั้นน่ากลัวแค่ไหน !
แม้ว่าบอลโลหิตจะไม่แกร่งเท่ากับจิตสุสาน แต่ความอันตรายของมันก็แทนถึงความแข็งแกร่งของจิตสุสานได้
“ เราโชคดีที่หนีออกมาจากสุสานได้” จางหยูเกิดความกลัวในใจ “ ข้ากลัวว่าจิตสุสานคงไม่พอใจเรารึอาจจะมีบางอย่างยับยั้งมันเอาไว้จนไม่ได้มีอิสระ…ไม่งั้นแล้วคงไม่มีใครหนีรอดจากมันได้”   จางหยูไม่สงสัยว่าหากจิตสุสานเอาจริงแล้ว แม้ว่าจะเป็นราชาแต่ก็ตายได้อย่างแน่นอน
แม้แต่ต้นไม้โกลาหลก็ยังไม่อาจจะต้านทานมันได้เลย จิตนั้นน่ากลัวกว่าต้นไม้โกลาหลอย่างแน่นอน !
เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็กลัวมากกว่าเดิมแต่ก็ยังดีใจ เขาดีใจที่เขายังไม่เข้าไปสำรวจสุสานตามแผน
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้แล้ว ต่อหน้าจิตสุสานนั้นเขาไม่ต่างอะไรจากมดเลย หากโดนจิตสุสานหมายหัว เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะมีโอกาสหนีกลับไปที่โลกตันเถียนรึไม่
“ ต้นไม้โกลาหลและจิตสุสานน่ากลัวถึงขนาดนี้ แล้วจ้าวโกลาหลจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ?” จางหยูไม่กล้าคิด
จางหยูส่ายหน้า เขาไม่กล้าจะคิดต่อ ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยเท่านั้น
ต่อมา จางหยูก็เพ่งสมาธิไปกับการสร้างร่างแยก ตอนนี้คนภายนอกพากันเดินทางมาที่สำนักคังเฉียงมากขึ้นเรื่อยๆแม้แต่ผู้ควบคุมขั้น 9 ก็มี พวกนั้นต่างก็ทำตัวตามกฎที่สำนักคังเฉียงตั้งเอาไว้ แม้แต่ผู้ควบคุมขั้น 9 ก็ยังไม่กล้าสร้างปัญหา ยิ่งคนที่อ่อนแอเท่าไหร่ก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น
ศิษย์และอาจารย์ในสำนักต่างก็ขึ้นเป็นผู้นำขั้นที่ 8 กันหมดแล้ว
นอกจากนี้ศิษย์ของจางหยูก็ได้ขึ้นเป็นผู้ควบคุมขั้นที่ 9 แล้ว ทำให้สำนักคังเฉียงมีผู้ควบคุมขั้น 9 อีกกว่าสิบคนและยังเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อยๆ เดาว่าอีกไม่นานทั้งอาจารย์และศิษย์จะขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 ได้ !
โลกค่อยๆเติบโตขึ้นแล้วและสำนักคังเฉียงก็กลายเป็นจุดศูนย์กลาง !
จ้านเทียนเกอ, เบเกิล, หลินเป่ยชานและคนอื่นๆแม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมสำนักคังเฉียง แต่เพราะพวกนั้นรู้จักกับจางหยู จึงทำให้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกนั้น แม้แต่พวกระดับร้อยเท่าก็ยังต้องสุภาพกับพวกนั้น หยวนเทียนจี,เย่ฟานและศิษย์คนอื่นๆถูกคนมากมายตามประจบ บอกได้ว่านี่เป็นฉากที่น่าแปลกใจอย่างมาก
วิหารอวี๋ฮุ่นในโลกป่าถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มันทำให้วิหารนี้ใหญ่โตและหรูหรากว่าเก่า ผู้ดูแลได้ถูกเปลี่ยนคน มันเป็นคนระดับร้อยเท่าที่วิหารอวี๋ฮุ่นได้ส่งมาดูแลที่นี่แทน
ทั้งโกลาหลพากันจับตาดูการเคลื่อนไหวของสำนักคังเฉียงราวกับว่าสำนักคังเฉียงเป็นศูนย์กลางของโกลาหล
อำนาจของพวกเขาถึงกับมากกว่าวิหารอวี๋ฮุ่น
สำนักคังเฉียงได้ยกระดับทัดเทียมกับวิหารอวี๋ฮุ่น
ที่ลานของสำนัก หยวนเทียนจี, เย่ฟาน, อู่โม่และคนอื่นๆพากันมารวมตัวกัน
“ อีกนานแค่ไหนที่อาจารย์จะออกมา ?” เซียวเหยียนถอนหายใจออกมา “ จ้านเทียนเกอและคนอื่นๆไปที่สุสานกับเขาได้ อาจารย์คงไม่รังเกียจที่จะพาพวกเราไปด้วยหรอกนะ ?”
“ ข้าไม่มั่นใจ” หยวนเทียนจีวิเคราะห์ “ สุสานนี้อันตรายแค่ไหน เมื่อดูจากผู้ควบคุมขั้นที่ 9 คนอื่นๆก็พอจะรู้ได้ ตอนนี้เราอยู่แค่ระดับสิบเท่า บางทีคงช่วยอะไรอาจารย์ไม่ได้…เราอาจจะเป็นตัวถ่วงของอาจารย์ด้วยซ้ำ ”
“ ใช่ว่าเราจะด้อยกว่าพวกระดับสิบคนอื่นๆ” เย่ฟานพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “หากเราร่วมมือกันแล้ว มันก็ไม่ยากที่จะจัดการกับระดับร้อยเท่า”
หยวนเทียนจีพูดขึ้นมา “ จัดการกับระดับร้อยเท่าได้แล้วยังไง ? คิดถึงราชาตะวันออกสิ เขาเป็นถึงราชาแต่ผลลัพธ์เป็นยังไง ? ” เขาส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “ แม้แต่ราชาก็ยังตายได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็พากันเงียบไป พวกเขาไม่อาจจะรับมือกับคนระดับพันเท่าได้ด้วยซ้ำ นี่ไม่ต้องนับราชาเลย
ความน่ากลัวของสุสานสวรรค์นั้นน่ากลัวกว่าราชาเสียอีก….
“ ไปบ่มเพาะกันต่อเถอะ ” อู่โม่ยิ้มและพูดขึ้นมา “ หากอยากไปที่สุสานสวรรค์ อย่างน้อยเราก็ต้องขึ้นไประดับร้อยเท่า”
“ เอาเวลาไปบ่มเพาะกันดีกว่า” เซียวเหยียนพูดขึ้น “ พยายามทะลวงผ่านไประดับร้อยเท่าให้ได้ ก่อนอาจารย์จะตัดสินใจไปที่สุสาน เราจะได้ขอให้อาจารย์พาพวกเราไปด้วยได้ ”
ไม่นานทุกคนก็พากันแยกย้ายออกไปบ่มเพาะ
ที่บ้านพัก
จางเฮ่าหลันได้รับข่าวมาบอกว่าด้านนอกโลกป่านั้นมีโลกขั้นที่ 9 กำเนิดขึ้นมาเป็นหมื่นๆใบ เดาว่าอีกไม่นานจะถึงล้านใบและจำนวนก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กุยหยวนนับไม่ถ้วนไม่รู้ว่าได้ข่าวมาจากไหน พวกเขาได้มายังโลกป่าและได้ทำการสร้างโลกขั้นที่ 9 ของตนที่นี่ ดังนั้นจำนวนโลกขั้น 9 ในเขตย่อยหงหยวนจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้เบเกิลก็ยังประกาศให้เขตย่อยนี้เลิกใช้ชื่อหงหยวน ตั้งแต่นั้นมาที่นี่ก็ถูกเรียกว่าเขตย่อยคังเฉียงแทน
เขาเคยเป็นผู้นำของเขตย่อยนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เจ้าของเขตย่อยนี้อีกต่อไป เป็นสำนักคังเฉียงต่างหากที่เป็นเจ้าของใหม่
“ แค่ไม่กี่หมื่นปีผู้คนกลับแห่กันเข้ามาหน้ามืดตามัว !” จางเฮ่าหลันรู้สึกว่านี่ราวกับความฝัน “ รู้ตัวเลยว่าสำนักคังเฉียงได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในโกลาหล อำนาจนี้แผ่ออกไปทั่ว ”
จางเฮ่าหลันส่ายหน้าก่อนจะส่งภารกิจลงไปยังจารึกเพื่อตรวจสอบพวกคนที่มายังโลกป่าและได้ทำการสร้างโลกรอบโลกป่าขึ้นมา
ไม่นานราชาเผิงปีกทองน้อยก็รับภารกิจนั้น เขาได้ไปตรวจสอบสถานการณ์ ในตอนบ่ายราชาเผิงปีกทองก็กลับมาที่สำนักคังเฉียงและรายงานเรื่องนี้กับจางเฮ่าหลัน
“ มีข้อความพูดถึงกันไปทั่วว่าตราบใดที่สร้างโลกขั้นที่ 9 รอบโลกป่า มันจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องจิตปฐมบทโกลาหล…” ราชาเผิงปีกทองน้อยรายงาน “ดูเหมือนว่าจะมีผู้ควบคุมขั้น 9 คอยช่วยกุยหยวนในการลบจิตปฐมบทโกลาหล ผู้ควบคุมขั้น 9 คนนั้นเหมือนจะอยู่ในโลกป่า ดังนั้นคนอื่นๆจึงแห่กันมาขอความช่วยเหลือจากเขา ”
จางเฮ่าหลันพูดขึ้น “ ใครกันที่ว่างและช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนกัน ?”
นี่คือจิตปฐมบทโกลาหลเป็นล้านๆ ไม่ต้องพูดถึงผู้ควบคุมขั้นที่ 9 แค่คนเดียว ถึงจะมีหลายสิบคนรึหลายร้อยคนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
“ ใครกัน ?” นอกจากจางหยูแล้ว จางเฮ่าหลันก็คิดไม่ออกเลยว่าใครจะทำแบบนี้
หลังจากที่ราชาเผิงปีกทองน้อยกลับไป จางเฮ่าหลันก็ได้ส่งภารกิจ แต่ภารกิจนี้ยากกว่าเดิมเพราะครั้งนี้คือตรวจสอบคนลึกลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ว่าใครกันที่ช่วยคนอื่นๆลบจิตปฐมบทโกลาหล
ผลของการปล่อยภารกิจนี้ออกมาคือยังไม่ทันมีใครได้รับภารกิจนี้ เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ก็เข้ามาพบจางเฮ่าหลันเพื่อให้เขายกเลิกภารกิจ
จางเฮ่าหลันสับสนและถามขึ้นมา “ ทำไมกัน ? ”
“ ข้ารู้ว่าใครคอยช่วยพวกนั้นลบจิตปฐมบทโกลาหล ” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์พูดขึ้น
จางเฮ่าหลันได้ทำการยกเลิกภารกิจและถามกับเสี่ยวหลิงเอ๋อร์ “ ใครกัน ?”
“ เป็นเสี่ยวเสีย ! หลังๆมามันมักจะทำแบบนี้ตลอด” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์พูดขึ้น
จางเฮ่าหลันได้ยินแบบนั้นก็แปลกใจ “ ทำไมมันถึงทำแบบนี้ ?”
เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ตอบกลับ “ เพราะการกลืนกินจิตปฐมบทโกลาหลนั้นทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ก่อนหน้านี้เราได้เดินทางไปกับนายท่าน มันได้กลืนกินจิตปฐมบทโกลาหลจำนวนมากเข้าไป จากนั้นเมื่อกลับมาที่โลกป่า มันก็กลับมาบ่มเพาะช้าดังเดิม สุดท้ายมันจึงเดินทางออกไปกินจิตปฐมบทโกลาหลทั่วทุกที่…เดาว่าความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้น่าจะทัดเทียมกับซื่อซิน, ซังหนานเทียนและพวกระดับสูงแล้ว”
จางเฮ่าหลันตกใจแต่กลับหัวเราะออกมา “ ที่แท้เขาก็แอบเคลื่อนไหวเช่นนี้ ข้าก็นึกว่ามีคนเล็งเป้าหมายมาที่สำนักคังเฉียงซะอีก !”
“ รึว่าจะให้ข้าไปหานายท่านเพื่อเรียกมันกลับมา ?” เสี่ยวหลิงเอ๋อร์ถามขึ้น
“ ไม่ ไม่จำเป็น” จางเฮ่าหลันโบกมือ “ ยิ่งมันแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อสำนักคังเฉียง ยิ่งกว่านั้นการที่มันกินจิตปฐมบทโกลาหลไปนั้นไม่ใช่แค่ให้กำเนิดยอดฝีมือ แต่ยังทำให้โกลาหลแข็งแกร่งขึ้นไปอีก มันเป็นเรื่องดี ไม่จำเป็นต้องหยุดมัน”
ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท