วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขอยู่สองวัน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพักฟื้นของเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินขอให้กู้เนี่ยนพาเด็กน้อยทั้งสองกลับไปที่เมืองจิ่นก่อน
ในวันที่เดินทางจากไป เถียนเถียนกอดคอเจียงสื้อสื้อไว้แน่น แล้วร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ
“หนูไม่อยากแยกจากหม่ามี๊ หนูอยากอยู่กับหม่ามี๊”
ถึงแม้เสี่ยวเป่าจะไม่ได้ร้องไห้ แต่ขอบตาของเขาก็แดงก่ำ
เมื่อเห็นจมูกที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของเด็กที่กำลังร้องไห้ เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ
“เราให้พวกเขาอยู่ต่ออีกสักสองสามวันดีไหมคะ” เจียงสื้อสื้อหันไปมองจิ้นเฟิงเฉิน
“ไม่ได้” การตัดสินใจของจิ้นเฟิงเฉินมั่นคงมาก
ร่างกายของสื้อสื้อควรจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ได้แล้ว ไม่สามารถดูแลเด็กสองคนนี้ได้
เมื่อเถียนเถียนได้ยิน เธอก็ร้องไห้หนักขึ้น “แด๊ดดี้ใจร้าย หนูไม่รักแด๊ดดี้แล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “เถียนเถียน หม่ามี๊ของลูกไม่ค่อยสบาย ถ้าลูกอยู่ที่นี่ หม่ามี๊จะต้องแบ่งเวลามาดูแลลูกๆอีก รอหม่ามี๊อาการดีขึ้น แด๊ดดี้จะไปรับพวกลูกกลับมาอีกครั้ง ตกลงไหม”
เสียงร้องไห้หยุดลงกะทันหัน เถียนเถียนมองเขาด้วยดวงตาเบิกโต “จริงเหรอคะ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “จริงสิ แด๊ดดี้เคยหลอกพวกลูกตอนไหน”
เถียนเถียนสูดน้ำมูก “ถ้าอย่างนั้น…ถ้าหม่ามี๊อาการดีขึ้น แด๊ดดี้ต้องมารับพวกเรานะคะ”
ขณะที่พูด เถียนเถียนยื่นนิ้วก้อยของเธอออกมา “เกี่ยวก้อยสัญญาค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินเกี่ยวก้อยสัญญากับเธอ และลูบศีรษะเล็กๆ ของเธอ “เถียนเถียน ดีมากลูก”
เขายังลูบศีรษะของเสี่ยวเป่าด้วย “เสี่ยวเป่า ดูแลน้องสาวของลูกดีๆ รู้ไหม”
เสี่ยวเป่าเป็นเหมือนสุภาพบุรุษร่างเล็ก แล้วพยักหน้ารับ “ไม่ต้องเป็นห่วงครับแด๊ดดี้ ผมจะดูแลน้องเอง”
กู้เนี่ยนอุ้มเถียนเถียนไว้ “คุณชาย คุณนายน้อยครับ พวกเราไปแล้วนะครับ”
เจียงสื้อสื้อซุกอยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน และเฝ้าดูรถของกู้เนี่ยนขับออกไป จนกระทั่งรถหายออกไปจากสายตา
“ฉันไม่อยากให้พวกลูกจากไปจริงๆ” เจียงสื้อสื้อรู้สึกแสบจมูกอยากจะร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้
จิ้นเฟิงเฉินหุบยิ้ม “ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เห็นกันอีกแล้วสักหน่อย พอคุณอาการดีขึ้น เราจะกลับไปที่เมืองจิ่นพร้อมกัน”
“ได้ค่ะ” เจียงสื้อสื้อหันไปมองเขา “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
จิ้นเฟิงเฉินจับมือเธอไว้ แล้วทั้งสองก็จูงมือกันเดินเข้าไปในบ้าน
ในเวลาเดียวกัน ที่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ป
ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ ที่เงียบผิดปกติ และมีบรรยากาศที่ตึงเครียดมาก
สีหน้าของฟางยู่เชินเคร่งเครียดมาก สายตากวาดมองไปที่กรรมการทุกคนที่อยู่ในห้อง และพูดขึ้นช้าๆ “ต้องขอโทษด้วยครับ แต่เรื่องไฟไหม้ในโกดัง ผมยังตรวจสอบความจริงไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร”
พอท่านหยางได้ยิน คิ้วก็ขมวดแน่น แล้วมองมาที่เขาด้วยสีหน้ากังวลใจ
กรรมการคนอื่นๆ มองหน้ากันไปมาด้วยสายตาที่ต่างออกไป
คณะกรรมการคนหนึ่งเอ่ยถาม “พวกเราให้เวลาคุณสองสัปดาห์ แต่คุณกลับบอกพวกเราว่ายังหาตัวคนร้ายไม่เจอ นี่มันไร้สาระชัดๆ”
“ใช่ คุณทำให้พวกเราผิดหวังมากจริงๆ”
“ผมนึกว่าทายาทที่คุณท่านเลือกจะเก่งมากซะอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำได้แค่นี้”
“ผมคิดว่าถ้าฟางซื่ออยู่ในมือเขา ต้องจบสิ้นแน่ๆ”
……
มีหลายคนที่เห็นด้วย และคำพูดทุกคำก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อฟางยู่เชิน
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนของฟางอี้หมิง ก็เป็นเรื่องปกติที่จะพูดอย่างนั้น
ดังนั้นฟางยู่เชินจึงไม่ใส่ใจ เขาอธิบายอย่างไม่รีบร้อน “เรายังไม่พบคนร้ายที่ฉีดยาพิษใส่หลี่เผิงครับ ทางตำรวจบอกว่าพอจะมีเบาะแสบ้างแล้ว และจะได้ผลได้ผลสรุปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”
“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างนั้นเหรอครับ คุณคิดจะขอให้เราให้เวลาคุณอีกสองสามวันใช่ไหมครับ”
ฟางยู่เชินหันไปมองคณะกรรมการที่ถามคำถาม มุมปากของเขายกยิ้ม “ถ้าหากพวกคุณยินยอม ก็ยิ่งดีครับ”
คนคนนั้นมองหน้าคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง และตอบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่มีทางครับ พวกเราไม่ยอมให้เวลาคุณอีกแล้ว”
ในเวลานี้ ท่านหยางจึงพูดขึ้นมา “ในเมื่อตำรวจบอกว่าจะจับคนร้ายได้ในช่วงสองสามวัน พวกเราให้เวลาเพิ่มอีกสองสามวันก็สมควรแล้ว”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คณะกรรมการเหล่านี้ยังพอจะเกรงกลัวท่านหยางมาก แต่ตอนนี้พวกเขาไม่เห็นท่านหยางอยู่ในสายตาเลย
“ท่านหยาง คราวนี้คุณจะใช้อะไรมาเป็นหลักประกันอีก คุณเคยใช้ชื่อเสียงตัวเองเป็นหลักประกัน แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของคุณไม่มีค่าอะไรเลย”
ใครก็ฟังคำประชดที่แฝงอยู่ในคำพูดของผู้ชายคนนี้ได้
ฟางยู่เชินขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านหยางและปู่ของผมสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาด้วยกัน ความอาวุโสของเขาสูงกว่าคุณ ระวังคำพูดของคุณด้วย”
พอชายคนนั้นถูกเขาต่อว่าต่อหน้าผู้คนมากมาย ใบหน้าของเขาแดงก่ำทันที แล้วตะโกนด้วยความโกรธ “เขาเป็นผู้อาวุโส แต่เขาคงแก่จนเลอะเลือนแล้ว ถึงได้สนับสนุนคุณซึ่งไม่มีความสามารถในการบริหารบริษัทแบบนี้”
ฟางยู่เชินต้องการจะโต้กลับ แต่ท่านหยางกลับพูดดักหน้าขึ้นมาซะก่อน “ฉันยอมรับว่าฉันแก่จนเลอะเลือนแล้ว แต่ยู่เชินไม่ใช่อาโต้ว ถ้าเขาไม่มีความสามารถจริงๆ จิ้นกรุ๊ปจะยอมตกลงร่วมธุรกิจกับเขาได้ยังไง”(ลูกชายของเล่าปี่ชื่ออาโต้วเป็นคนที่อ่อนแอและไม่เป็นโล้เป็นพาย จึงมีคำเปรียบเทียบคนที่ไม่เอาไหน ไม่เอาถ่าน ขี้เกียจ ส่งเสริมไม่ขึ้น)
“จิ้นกรุ๊ปอย่างนั้นเหรอ” ชายคนนั้นยิ้มเยาะเย้ย “ไม่มีใครไม่รู้ว่าประธานของจิ้นกรุ๊ปเป็นน้องเขยของเขา นี่ถือว่ามีความสามารถอย่างนั้นเหรอ นี่มันใช้เส้นสายชัดๆ”
“ถ้าอย่างนั้นประธานจิ้นก็เป็นน้องเขยของอี้หมิงด้วย ทำไมเขาถึงไม่ร่วมมือกับอี้หมิงล่ะ” ท่านหยางถามเขากลับ
ชายคนนั้นถูกตอกกลับจนพูดไม่ออกทันที
ท่านหยางยอยิ้ม แล้วพูดต่อ “ถึงแม้ประธานจิ้นจะยังหนุ่ม แต่เขาก็บริหารงานเก่งกว่าทุกคนในห้อง เขาจะมองคนไม่เป็นเลยหรือไง เพราะเขาเข้าใจดี ถึงได้เลือกอยู่ฝั่งยู่เชิน”
ในเวลานี้แล้ว ท่านหยางยังคงเลือกที่จะพูดแทนตัวเอง ฟางยู่เชินรู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ
“ท่านหยางพูดถูกแล้ว ความสามารถของยู่เชินก็ไม่เลว เขาแค่ยังหนุ่ม การจัดการสิ่งต่างๆจึงไม่เด็ดขาดเหมือนกับปู่ของเขา ถ้าฝึกฝนไปอีกสักระยะ ผมเชื่อว่าเขาจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆแน่นอนครับ”
“ใช่ พวกเราอย่ากดดันเขามาก ให้โอกาสคนหนุ่มสาวได้แสดงความสามารถบ้าง”
“ผมเองก็เห็นด้วยที่จะให้โอกาสเขาอีกครั้ง”
……
นอกจากกรรมการไม่กี่คนที่อยู่ข้างฟางอี้หมิง คณะกรรมการคนอื่นๆต่างพากันออกความคิดเห็น ยินยอมที่จะให้เวลาฟางยู่เชินอีกสองสามวัน
พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ สีหน้าของกรรมการเหล่านั้นจึงเปลี่ยนไปทันที
“พวกเราไม่ตกลงที่จะให้เวลาเขามากไปกว่านี้ และวันนี้เราจะต้องเปลี่ยนประธานบริษัทด้วย”
คณะกรรมการกลุ่มนั้นยังคงยืนกรานเหมือนเดิม
ท่านหยางยิ้ม “ได้ แล้วพวกคุณต้องการจะให้ใครเข้ามาแทน”
คณะกรรมการกลุ่มนั้นมองหน้ากัน แล้วพูดออกมาพร้อมกัน “ฟางอี้หมิง”
เป็นตัวเลือกที่คิดไว้ไม่มีผิด
ท่านหยางหันไปมองทางฟางยู่เชิน“คุณยินยอมที่จะสละตำแหน่งประธานบริษัทไหม”
“ฉันไม่ยอมครับ” คางของฟางยู่เชินเชิดขึ้นเล็กน้อย และตอบอย่างหนักแน่น
“ดีแล้ว ผมเองก็ไม่คิดอยากจะเปลี่ยนเหมือนกัน”
ท่านหยางมองไปที่คนอื่นๆ และถามว่า “แล้วพวกคุณล่ะ เห็นด้วยกับการเปลี่ยนตัวประธานไหม”
“พวกคุณคิดว่าการเปลี่ยนประธานบริษัทจะเปลี่ยนกันง่ายๆได้หรือไง” มีคนลุกขึ้นยืนอย่างไม่พอใจ แล้วมองคนกลุ่มนั้น “คุณท่านฟางประสบอุบัติเหตุกะทันหัน บริษัทเกือบจะเกิดความวุ่นวาย โชคดีที่ท่านได้เลือกทายาทไว้ล่วงหน้า บริษัทถึงได้มั่นคงรักษาสภาพจิตใจของพนักงานไว้ได้”
“ตอนนี้พวกคุณคิดจะเปลี่ยนคน ตั้งใจจะทำให้บริษัทเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งใช่ไหม พวกคุณต้องการให้คนนอกหัวเราะบริษัทของเราหรือไง”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามนี้ คนกลุ่มนั้นก็ก้มหน้าลงทีละคน ไม่กล้าที่จะตอบโต้อะไรอีก
เดิมทีพวกเขาก็พูดตามคำสั่งของฟางอี้หมิง สถานการณ์ในตอนนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ท่านหยางลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้น คนที่เห็นด้วยว่าจะให้เวลายู่เชินอีกสามวัน ยกมือขึ้น”
นอกจากคนกลุ่มนั้นที่ไม่ยกมือ คนอื่นๆต่างก็ยกมือเห็นด้วย
ท่านหยางยิ้มอย่างโล่งใจ แล้วพูดออกมา“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เวลายู่เชินอีกสามวัน ผมเชื่อว่าเขาจะให้ข้อสรุปที่น่าพอใจกับพวกเราแน่นอน”