“พี่สะใภ้ คุณร้องไห้แล้ว”
จิ้นเฟิงเหราพูดประโยคบรรยายไม่ใช่ประโยคคำถาม
เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นเช็ดขอบตาเธอ ก่อนจะเม้มปากยกยิ้ม “หวั่นชีงได้เพิ่มสมาชิกใหม่ให้กับครอบครัว ฉันดีใจต่างหากล่ะ”
“พี่สะใภ้ อยู่ต่อหน้าผมคุณไม่จำเป็นต้องแสร้งทำก็ได้ ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดถึงพี่ชายของผมอยู่ ใช่ไหมครับ”
“มันมองออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มแหย “ฉันแค่คิดว่าในวันที่มีความสุขแบบนี้ ไม่รู้ว่าพี่ชายของคุณเขากำลังทำอะไรอยู่”
จิ้นเฟิงเหรานิ่งคิดสักพัก ถึงได้พูดออกมา “พี่สะใภ้ พี่ชายจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนครับ”
เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “ฉันรู้ค่ะ”
แต่ว่า ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่
จิ้นเฟิงเหราอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงของพยาบาลก็ดังขึ้นข้างหลังเขากะทันหัน “ญาติของคุณส้งหวั่นชีงอยู่ที่นี่ไหมคะ กลับไปที่พักคนป่วยพร้อมกับเธอได้แล้วค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็รีบพูดขึ้นมา “อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย ไปดูหวั่นชีงกันก่อนเถอะค่ะ”
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมากว่าหนึ่งชั่วโมง ส้งหวั่นชีงยังคงมีกำลังดีมาก ทันทีที่เธอกลับมาที่ห้องพักคนป่วย เธอจับมือของเจียงสื้อสื้อแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ ในที่สุดวันนี้ฉันก็รู้แล้วว่าการคลอดลูกมันยากลำบากมากแค่ไหน”
เจียงสื้อสื้อเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเธอ แล้วพูดยิ้มๆ “มันลำบากมาก ดังนั้นหนึ่งเดือนหลังจากนี้คุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ต้องคิดอะไรมาก รู้ไหม”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” ส้งหวั่นชีงเหลือบมองทารกน้อยที่นอนอยู่ข้างๆเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ทำไมยับยู่ยี่จัง ไม่ได้สืบทอดหน้าตาของฉันกับพ่อของเขาเลย”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
“หวั่นชีง เด็กแรกเกิดทุกคนเกิดมาก็หน้าตาแบบนี้แบบนี้จ้ะ อีกไม่กี่วันก็สามารถเห็นชัดว่าเขาหน้าตาเหมือนใครแล้วจ้ะ” แม่ของจิ้นเฟิงเหราพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ส้งหวั่นชีงประหลาดใจเล็กน้อย “จริงเหรอคะ เด็กแรกเกิดทุกคนเกิดมาจะตัวแดงๆ ย่นๆแบบนี้เหรอคะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “อืม ตอนที่เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนเพิ่งเกิดก็เป็นแบบนี้ คุณคิดว่าตอนนี้พวกเขาดูเป็นยังไงบ้าง”
“คุณกับพี่ชายคนหนึ่งหล่ออีกคนหนึ่งสวย ลูกจะหน้าตาไม่ดีได้ยังไงกันคะ”
คำพูดของส้งหวั่นชีงทำให้เจียงสื้อสื้อหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แล้ว เด็กคนนี้หน้าตาไม่ดีตรงไหน”
“ที่จริงแล้ว ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะดูดีหรือไม่” ส้งหวั่นชีงเบ้ปาก “ที่ฉันสนใจคือทำไมเขาถึงไม่ใช่ลูกสาว”
พอเธอคิดว่าเถียนเถียนน่ารักขนาดนั้น กอดแล้วตัวนุ่มนิ่ม อ่อนหวานสมกับชื่อที่ตั้งไว้ เธอเองก็อยากมีลูกสาวอย่างเถียนเถียนสักคนด้วย
“ถึงตอนนั้นค่อยมีอีกคนก็ได้” เจียงสื้อสื้อพูด
พอเธอได้ยินว่าจะให้เธอคลอดลูกอีกคน ส้งหวั่นชีงก็แสดงท่าทีต่อต้านทันที “ไม่เอาแล้วค่ะ”
หลังจากนั้น เธอก็ถอนหายใจ แล้วพูด “ช่างเถอะ ลูกชายก็ลูกชายเถอะ ยังไงก็เป็นลูกของตัวเอง”
จากนั้นในห้องพักคนป่วยก็มีเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้อง
……
รอจนส้งหวั่นชีงหลับสนิท แม่จิ้นก็จูงมือเจียงสื้อสื้อออกไปข้างนอกห้อง
“สื้อสื้อ ลูกกลับบ้านไปเถอะ ที่นี่มีแม่กับเฟิงเหราอยู่ก็พอแล้ว”
เจียงสื้อสื้อยิ้มบาง “คุณแม่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ… “
“ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ” แม่จิ้นรีบพูดขัดขึ้นมา “เดี๋ยวพี่เลี้ยงก็มาถึงแล้ว ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีคนเยอะ ลูกกลับบ้านไปพักผ่อนให้เพียงพอเถอะนะ”
เธอพูดถึงอย่างนั้นแล้ว เจียงสื้อสื้อจึงไม่ยื้ออีกต่อไป เธอยิ้มแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูกลับบ้านไปพักก่อนก็ได้ ถ้าคุณแม่เหนื่อย โทรหาหนู หนูจะมาดูแลแทน”
แม่จิ้นยิ้ม “ได้จ้ะ”
เจียงสื้อสื้อโทรหากู้เนี่ยน ให้เขามารับเธอที่โรงพยาบาล เธอเดินออกจากโรงพยาบาล ตั้งใจจะยืนรออยู่ข้างถนน
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าทันทีที่เธอเดินออกจากประตูโรงพยาบาล เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาหาเธอ
เธอรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปทันที
แต่อีกฝ่ายตัวใหญ่ยักษ์ แค่ไม่กี่ก้าวก็จับตัวเธอได้แล้ว
“คุณเจียง คุณหญิงของผมขอต้องการคุยกับคุณ” คาร์อันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เจียงสื้อสื้อควบคุมความตึงเครียด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสีหน้าเรียบนิ่ง จ้องมองเขาด้วยสายตาเคร่งเครียด แล้วพูดเสียงเข้ม “ปล่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกคนแล้วนะ ที่นี่ไม่ใช่อิตาลี คุณจะมาทำอะไรบ้าๆไม่ได้นะ”
ดวงตาของคาร์อันเปล่งประกาย ก่อนจะกระชากเธอมาตรงหน้าตัวเอง
“คุณ… “คิดจะทำอะไร
ยังไม่ทันจะตะโกนขอความช่วยเหลือ บริเวณเอวของเธอถูกวัตถุของแข็งชี้ไว้
ใบหน้าของเจียงสื้อสื้อเปลี่ยนไปทันที มันคือปืน
คาร์อันมองไปรอบๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงกระซิบข้างหูเธอ โดยพูดอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ“คุณจะไปกับผมดีๆ หรือว่าอยากจะตายตรงนี้”
เจียงสื้อสื้อกำหมัดของเธอแน่น “ไปกับคุณ”
คาร์อันยกยิ้มย่อง ก่อนจะดึงเธอไปยังรถที่จอดอยู่ข้างถนน
เจียงสื้อสื้อถูกโยนเข้าไปในรถ พอเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็พบกับดวงตาแห่งความพึงพอใจของลี่ซา เธอรีบนั่งลง จัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย แล้วถามอย่างใจเย็น “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”
ลี่ซาเหลือบมองไปที่คาร์อัน คาร์อันรีบแปลคำพูดของเจียงสื้อสื้อให้เธอฟัง
พอฟังจบ ลี่ซาก็ยกยิ้ม “ฉันไม่ได้จะทำอะไร แค่อยากจะคุยกับคุณ”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เจียงสื้อสื้อสูดหายใจเข้าลึก “ฉันขอพูดย้ำอีกครั้ง ที่เบอร์เกนจับตัวฉัน เพียงเพราะฉันมีประโยชน์ต่อการวิจัยของเขา ไม่มีอะไรอื่น หวังว่าคุณจะไม่คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น”
“เธอคิดว่าเขาจับเธอ แค่เพียงเพื่อการวิจัยจริง ๆ เหรอ” ลี่ซายิ้มเยาะเย้ย แววตาที่ใช้มองเธอก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ไม่ใช่เลย เขาก็แค่สนใจในตัวเธอแค่นั้นเอง”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “คุณมองจากตรงไหนว่าเขาสนใจฉัน ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็แต่งงานแล้วด้วย”
“สำหรับเบอร์เกน ไม่ว่าเธอจะแต่งงานหรือไม่ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเขา”
พอพูดถึงตรงนี้ ลี่ซาก็หรี่ตาลง “ขอแค่เป็นสิ่งที่เขาสนใจ เขาจะต้องเอามันมาครอบครองให้ได้”
“เอามาครอบครองให้ได้อย่างนั้นเหรอ” เจียงสื้อสื้ออดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณลี่ซา ตราบใดที่ฉันไม่ยอม เขาก็ไม่สามารถทำอะไรฉันได้ ไม่ใช่เหรอคะ”
ที่นี่ไม่ใช่อิตาลี เธอไม่เชื่อว่าเบอร์เกนจะทำอะไรเธอได้จริงๆ
“แต่การมีอยู่ของคุณ ก็ยังทำให้ฉันไม่ชอบใจอยู่ดี” ลี่ซามองหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา
“ฉัน…” เจียงสื้อสื้ออยากจะพูดว่าเธอไม่มีความผิดในเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่พูดออกมา แล้วพูดว่า “ขอแค่พวกคุณกลับไปอิตาลีก็ได้แล้ว “
“ไม่หรอก” ลี่ซาส่ายหน้า “ตราบใดที่เธอยังอยู่ในโลกนี้ เบอร์เกนไม่มีทางหยุดแน่”
“แล้วต้องให้ฉันทำยังไง” เจียงสื้อสื้อเริ่มอารมณ์เสีย “ฉันโชคร้ายมากแล้วที่ติดไวรัสร้ายนี้ แล้วตอนนี้ยังมีคนต้องการจับฉันไปทำการทดลอง ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องทั้งหมดเกี่ยวอะไรกับฉันตรงไหน เพราะเรื่องนี้ยังทำให้สามีของฉันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอีก”
พอพูดถึงจุดอ่อนในจิตใจ ขอบตาของเจียงสื้อสื้อจึงอดที่จะแดงขึ้นมาไม่ได้ “คุณลี่ซา ถ้าคุณกลัวว่าคุณเบอร์เกนมีคิดอะไรกับฉันจริงๆ คุณก็ยิ่งต้องคิดหาวิธีที่จะรักษาหัวใจของเขาไว้ให้ได้ ไม่ใช่เหรอคะ“
“เรื่องของฉันไม่ต้องให้เธอมาชี้นิ้วบงการ” ลี่ซาตะคอกเสียงดัง ก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างรุนแรง “ยังไงเธอก็ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็ยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “แล้วยังไงคะ คุณคิดจะฆ่าฉันอย่างนั้นเหรอ”
“ถูกต้อง” ลี่ซาเลิกคิ้ว “ขอแค่เธอตายไป เบอร์เกนก็จะยอมปล่อยให้เรื่องนี้จบลง”
น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนเธอกำลังพูดเรื่องปกติทั่วไป
แต่พอเข้ามาในหูของเธอมันกลับน่ากลัวมาก แต่เธอไม่ต้องการแสดงความหวาดกลัวออกมา จึงทำได้เพียงพูดอย่างใจเย็น “ที่นี่ไม่ใช่อิตาลี ทางที่ดีคุณอย่าทำอะไรบ้าๆจะดีกว่า”