ในวันครบรอบของห้างสรรพสินค้า บรรยากาศดูครึกครื้นมาก มีลูกค้าเข้ามาเยอะขึ้นด้วย
เหลียงซินเวยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย คอยยืนรับแขกตลอดเวลา
แม้ว่าเธอจะสวมรองเท้าส้นต่ำ แต่ทำงานหนักแบบนี้ก็ทำให้เธอรับไม่ไหวเหมือนกัน
รอจนลูกค้าเริ่มน้อยลง เธอจึงหลบอยู่ในห้องเก็บของ แล้วถอดรองเท้าออก
ซี๊ด
เธอสูดหายใจเข้า แล้วก้มหน้าลง แววตามองไปที่เท้าเล็กๆ ของเธอ ที่ถูกเสียดสีจนตุ่มน้ำแตก เจ็บจนทำให้เธอขมวดคิ้วแน่น
ถึงแม้จะเจ็บ แต่งานก็ต้องดำเนินต่อไป
เธอดึงพลาสเตอร์ยาออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วฉีกมันออก ก่อนจะนำมาแปะที่บาดแผล
แบบนี้คงจะยืดเวลาได้อีกสักพัก
“เวยเวย”
เสียงของผู้จัดการดังมาจากด้านนอก เธอรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ค่ะผู้จัดการ ฉันอยู่ในนี้ค่ะ”
ผ่านไปสักพัก ผู้จัดการก็เดินเข้ามา พอเห็นเธอนั่งพักอยู่ จึงโกรธเล็กน้อย “เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าข้างนอกยุ่งมากแค่ไหน”
“ขอโทษค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
เหลียงซินเวยรีบสวมรองเท้าอย่างรวดเร็ว แต่ตอนที่แตะถูกบาดแผล เธอก็อดที่จะส่งเสียงซี๊ดอย่างเจ็บปวดออกมาไม่ได้
“เธอเป็นอะไร” ผู้จัดการรีบถาม
เธอยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่เป็นไรค่ะ ตรงปลายเท้ามีตุ่มน้ำพองขึ้นมา ตอนนี้ฉันติดพลาสเตอร์ยาเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ผู้จัดการมองที่เท้าของเธอ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใส่ส้นสูงก็จะเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ ชินกับมันแล้วค่ะ”
ผู้จัดการพยักหน้า “งั้นก็ดีแล้ว รีบออกไปช่วยงานข้างนอกเถอะ”
น้ำเสียงดูผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด
เหลียงซินเวยพยักหน้า แล้วรีบเดินออกไป
การทำงานหนักยังคงดำเนินไปอีกหลายชั่วโมง จนกระทั่งห้างปิด ร้านอาหารปิดลง พนักงานทุกคนเริ่มทำความสะอาดร้าน
เหลียงซินเวยรู้สึกเหมือนร่างกายของเธอกระดูกเคลื่อนไปหมด ปวดเมื่อยไปทุกที่ เธอแทบอยากจะกลับบ้านไปพักผ่อนให้เร็วที่สุด
เธอกับเพื่อนร่วมงานเดินออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดิน แล้วเดินตรงไปที่ป้ายรถเมล์
ทันทีที่เธอไปถึงชานชาลา ก็มีรถมาจอดตรงหน้าเธอพอดี
เดิมทีเธอคิดว่ามารับคนอื่น เธอจึงเดินเลี่ยงไปอีกหน่อย
“เวยเวย”
ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหู
เธอหันกลับ แล้วมองไปตามเสียง จึงเห็นกู้เนี่ยนนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ
“เวยเวย นั่นเพื่อนของเธอไม่ใช่เหรอ” เพื่อนร่วมงานตื่นเต้นมากกว่าเธออีก เธอพูดพร้อมกับดึงชายเสื้อของเธอ
“เบาเสียงหน่อยสิ” เหลียงซินเวยมองไปรอบๆ อย่างเขินอาย ก่อนจะเดินไป แล้วก้มตัวลงมองเข้าไปในรถ “คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
กู้เนี่ยนยกยิ้ม “ถ้าผมบอกว่าขับรถผ่านมาพอดี คุณจะเชื่อไหมครับ”
ถ้าเป็นช่วงกลางวัน เธออาจจะเชื่อก็ได้
แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว…
พอเห็นเธอนิ่งคิดอย่างจริงจัง กู้เนี่ยนก็ยิ้มกว้างมากขึ้น ก่อนจะลูบคาง “ขึ้นรถเถอะครับ ฉันจะพาไปส่ง”
เหลียงซินเวยเหลือบมองเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยความลำบากใจ แล้วนิ่งคิด ก่อนจะถามอย่างเกรงใจ “คุณช่วยไปส่งเพื่อนร่วมงานฉันกลับบ้านด้วยได้ไหมคะ”
กู้เนี่ยนพยักหน้าโดยไม่ลังเล “ได้ครับ ขึ้นรถได้เลยครับ”
พอเพื่อนร่วมงานได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็ดีใจมาก แล้วรีบผลักเหลียงซินเวยเข้าไปในรถ
ทันทีที่ฉันขึ้นขึ้นนั่งบนรถ เพื่อนร่วมงานของเธอก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “คุณกำลังตามจีบเวยเวยอยู่หรือเปล่าคะ”
“ส้งหร่าน เธอกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่” เหลียงซินเวยตกใจจนเรียกชื่อเต็มของเธอ
และคุณก็ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของเพื่อนตนเอง “นี่ฉันกำลังช่วยเธออยู่นะ ถ้าฉันจะไม่ช่วยถามให้ชัดเจน แล้วเขามีเจตนาไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง”
“พี่กู้ไม่ใช่คนแบบนั้นนะ”
เหลียงซินเวยกลัวว่ากู้เนี่ยนจะโกรธจึงรีบพูดอธิบาย “พี่กู้คะ เพื่อนร่วมงานของฉันแค่พูดล้อเล่น ไม่ต้องใส่ใจนะคะ”
กู้เนี่ยนเงยหน้าขึ้นมองกระจกมองหลัง แม้ว่ารถจะมืด แต่เขาก็ยังสามารถเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอได้
เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “พี่ไม่ใส่ใจหรอก”
“เธอบอกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น คงไม่รังเกียจที่ฉันจะถามคำถามนั้นออกมาใช่ไหม” ส้งหร่านยิ้มแล้วมองกู้เนี่ยนที่นั่งตรงที่นั่งคนขับ
“จริงไหมคะ พี่กู้”
“อืม” กู้เนี่ยนพยักหน้า
“แต่พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะคะ” ส้งหร่านมองด้วยสายตาคาดหวัง
“พอได้แล้ว ส้งหร่าน” เหลียงซินเวยโกรธแล้วจริงๆ เธอรีบดึงส้งหร่านไว้ “เธอเงียบไปเลยนะ ไม่ต้องพูดแล้ว”
ในเวลานี้เอง กู้เนี่ยนก็พูดขึ้นมา “ใช่ครับ ผมชอบเวยเวย”
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมา บรรยากาศในรถก็เงียบลงทันที
สักพัก ส้งหร่านก็หัวเราะออกมา “ฉันเดาไว้ไม่ผิดจริงๆด้วย”
เหลียงซินเวยมองไปทางกู้เนี่ยนอย่างตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะสารภาพออกมาตรงๆแบบนี้
กู้เนี่ยนมองกลับไปที่เธอ แล้วพูดติดตลก “ตกใจมากเลยเหรอครับ ผมนึกว่าคุณจะรู้มานานแล้วซะอีก”
อะไรคือนึกว่าเธอรู้มานานแล้วกัน
เธอไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ
“พี่กู้ พี่พูดล้อเล่นใช่ไหมคะ” เหลียงซินเวยยังคงไม่อยากจะเชื่อ
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ ผมพูดจริงๆ เดิมทีผมตั้งใจจะรอให้เจ้านายกลับมาก่อนค่อยสารภาพรักกับคุณ”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว “แล้วตอนนี้คุณหมายความว่ายังไงคะ”
“ก็หมายความว่า เจ้านายของผมกลับมาแล้วยังไงล่ะครับ”
ส้งหร่านผลักเหลียงซินเวย “พี่กู้พูดตรงไปตรงมาจริงๆเลยค่ะ แล้วเธอล่ะ เธอมีอะไรจะพูดหรือเปล่า”
เธอมีอะไรจะพูดกันล่ะ
เหลียงซินเวยยิ้มแหย “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ” ส้งหร่านมองเธอด้วยความสงสัย
“ส้งหร่าน ฉันขอร้องล่ะ ไม่ต้องพูดแล้วได้ไหม” เหลียงซินเวยขอร้องเธอเบาๆ
ส้งหร่านมองไปทางกู้เนี่ยนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ แล้วมองที่เธออีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่พูดแล้วก็ได้”
บรรยากาศในรถเงียบลงอีกครั้ง
เหลียงซินเวยมองไปทางกู้เนี่ยน แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง สีหน้าดูสับสนมาก
หลังจากส่งส้งหร่านกลับบ้าน ทิ้งเหลียงซินเวยกับกู้เนี่ยนไว้ภายในรถแค่สองคน
บรรยากาศดูน่าอึดอัดเล็กน้อย
กู้เนี่ยนมารู้สึกเสียใจทีหลังที่ตนเองหุนหันพลันแล่นเกินไป เขาไม่ควรสารภาพรักในเวลาที่ไม่สมควรแบบนี้
“พี่กู้คะ” เหลียงซินเวยพูดขึ้นมาก่อน
“อืม”
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องความรักในตอนนี้”
เสียงของเธอเบามาก แต่กู้เนี่ยนยังคงได้ยินอย่างชัดเจน ในใจถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ยังยิ้มและปลอบเธอ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้หมายความว่าต้องการให้คุณคบกับผมตอนนี้เลย ผมแค่อยากจะบอกคุณ ว่าผมชอบคุณก็เท่านั้นเอง “
“อ๋อ”
รถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
กู้เนี่ยนกลัวว่าเธอจะคิดมากเกินไป จึงพูดเสริม “คุณก็คิดซะว่าผมพูดไร้สาระ ไม่ต้องเก็บไปคิดมากนะครับ”
“ฉันไม่ได้เก็บไปคิดมากค่ะ”
ทั้งๆที่เขาคนถูกปฏิเสธจะเสียใจมากกว่า แต่เขาก็ยังพูดปลอบใจเธอ
เหลียงซินเวยรู้สึกผิดเล็กน้อย “พี่กู้คะ ไม่ว่ายังไง พวกเราก็เป็นเพื่อนกันนี่คะ”
“อืม เป็นเพื่อนกัน” กู้เนี่ยนพยักหน้า รอยยิ้มโศกเศร้าประดับอยู่บนใบหน้า
รถค่อยๆ หยุดที่หน้าประตูเข้าหมู่บ้านจัดสรร เหลียงซินเวยจึงพูด “ขอบคุณ” แล้วเปิดประตูรถเดินลงไป
พอเห็นเธอโบกมือให้ตนเอง แล้วหันหลังเดินเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรร หัวใจของกู้เนี่ยนก็กระตุกก่อนจะรีบเปิดประตูออกจากรถ แล้ววิ่งตรงไปหาเธอ
“เวยเวยครับ”
เขาคว้าข้อมือของเธอไว้ เหลียงซินเวยต้องหยุดเดินไป แล้วหันกลับมา ก่อนจะมองหน้าเขานิ่ง
กู้เนี่ยนหายใจเข้าลึก แล้วมองด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมรู้ว่าคุณไม่อยากพูดถึงเรื่องความรักในตอนนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณพร้อม คุณช่วยคิดถึงผมเป็นคนแรกได้ไหมครับ”
ความจริงใจของเขา ทำให้เหลียงซินเวยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
กู้เนี่ยนรู้ว่าตัวเองกำลังทำให้เธอลำบากใจ จึงค่อยๆ ปล่อยมือออก แล้วยิ้มขอโทษ “ขอโทษนะครับ ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
พอพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
มองแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างของเขา ถึงแม้เหลียงซินเวยจะรู้สึกผิดมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป
เธอรู้ว่าถ้าไม่ชอบคนคนหนึ่ง ก็ไม่ควรให้ความหวังกับอีกฝ่าย จะได้ไม่เป็นการทำร้ายอีกฝ่าย