พอเห็นเถียนเถียนที่กำลังร้องไห้อย่างปวดใจ หัวใจของจิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกรวดร้าวขึ้นมา ราวกับถูกมีดที่แหลมคมแทงใส่ยังไงอย่างนั้น
“เถียนเถียน……” เขายืนมือออกไปอยากที่จะสัมผัสเธอ แต่จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
เขาเอามือกุมหัว แล้วพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ปวด……”
พอเห็นแบบนั้น ซ่างกวนหยวนก็รีบเข้าไปประคองเขาเอาไว้ “เฟิงเฉิน เป็นอะไรไปคะ?”
“ผมรู้สึกปวดหัวมาก” จิ้นเฟิงเฉินปวดจนต้องนั่งลง
ท่าทางที่ดูเจ็บปวดของเขาทำเอาเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนถึงกับตกใจไปเลย แล้วยืนดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความอึ้ง
“รีบส่งไปโรงพยาบาลเถอะ” จิ้นเฟิงเหราอยากช่วยส่งเขาไปโรงพยาบาล
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขากลับถูกซ่างกวนหยวนผลักออกอย่างแรง “พวกคุณออกไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่พวกคุณ เขาก็ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้!”
เธอจ้องเขม็งไปที่จิ้นฟิงเหราด้วยความเกลียดชัง
ทั้งๆ ที่เฟิงเฉินอุตส่าห์ลืมอดีตไปแล้ว แต่พวกนี้ยังจะบังคับให้เขาต้องนึกถึงมันอีก โดยที่ไม่สนใจสภาพร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อไม่มีทางเลือก จิ้นเฟิงเหราจึงจำเป็นต้องพาเด็กๆ ทั้งสองกลับกันไปก่อน
“หนูจะเอาแด๊ดดี้ หนูจะเอาแด๊ดดี้……” เถียนเถียนถูกจิ้นเฟิงเหราอุ้มขึ้นรถไปทั้งที่ยังร้องไห้อยู่
ดวงตาของเธอร้องไห้จนแดงก่ำ ดูเจ็บปวดมาก
“เถียนเถียนเชื่อฟังนะ ไม่ร้องนะ” จิ้นเฟิงเหราดึกกระดาษมาหลายแผ่นเพื่อช่วยเธอเช็ดน้ำตาออก แล้วพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ตอนนี้แด๊ดดี้ของหนูไม่ค่อยสบาย วันหลังเราค่อยมาพาเขากลับไปอีกทีนะ”
“หนูไม่เอา หนูอยากให้แด๊ดดี้กลับบ้านตอนนี้เลย”
น้ำตาเปียกปอนไปทั่วใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเถียนเถียนอีกครั้ง
พอเห็นเธอร้องไห้ได้เจ็บปวดขนาดนี้ จิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกแย่ขึ้นมา ได้แต่ดึงเธอมากอดไว้ แล้วตบหลังให้เธอเบาๆ
แต่เสี่ยวเป่ากลับนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความเงียบ เขาก้มหน้าก้มตา กับสีหน้าที่สงบเกินวัยของเขา
รอจนสภาพจิตใจของเถียนเถียนสงบลงแล้ว เสี่ยวเป่าถึงได้พูดออกมาว่า “อาครับ จะเป็นไปได้มั้ยครับที่แด๊ดดี้ของเราจะไม่มีวันจำผมกับเถียนเถียนได้แล้ว?”
“ไม่หรอก” จิ้นเฟิงเหราเอามือลูบหัวเขา แล้วพูดต่อว่า “แด๊ดดี้ของพวกเธอรักพวกเธอขนาดนั้น แล้วจะไปลืมพวกเธอได้ยังไงล่ะ?”
“แต่ว่าตอนนี้เขาลืมพวกเราไปแล้วจริงๆ นี่ครับ” พอเสี่ยวเป่านึกถึงท่าทางของแด๊ดดี้ที่มองพวกเขาราวคนแปลกหน้านั้น ดวงตาก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
แด๊ดดี้ของเขาลืมเขากับเถียนเถียนไปแล้วจริงๆ
“ต้องเชื่อใจในตัวแด๊ดดี้ของพวกเธอสิ เขาต้องจำพวกเธอได้แน่” จิ้นเฟิงเหราปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่มั่นอกมั่นใจ
เสี่ยวเป่าตอบ “ครับ” เบาๆ แล้วเงียบไป ไม่พูดอะไรอีก
……
ในอีกด้านหนึ่ง จิ้นเฟิงเฉินนอนลงบนที่นอน หลับตาทั้งสองข้างแน่น คิ้วที่ดูดีที่คู่นั้นขมวดกันจนเป็นปม
ซ่างกวนหยวนยื่นมือไปสัมผัสหว่างคิ้วของเขาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง “เฟิงเฉินคะ ถ้ามันปวดจนทนไม่ได้ เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้กินนะคะ”
พูดจบ เธอหมุนตัวแล้วจะเดินจากไป
แต่ทันใดนั้น ข้อมือของเธอก็ถูกดึงไว้
เธอค่อยๆ หันหน้ามา จิ้นเฟิงเฉินลืมตาขึ้นมา มุมปากแสดงรอยยิ้มจางๆ ออกมา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผมไม่เป็นไรครับ พักผ่อนสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
ซ่างกวนหยวนร้องไห้ออกมาแล้ว
เธอยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา แล้วพูดด้วยความสะอึกสะอื้นว่า “คุณทำฉันตกใจแทบแย่”
“ไม่ต้องร้องแล้ว ผมไม่เป็นไรจริงๆ” จิ้นเฟินเฉินหันมองออกไปนอกหน้าต่าง รอยยิ้มค่อยๆ จางลง สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมา “หยวนหยวน งานแต่งงานของเราช่วยเลื่อนมันออกไปก่อนได้มั้ยครับ?”
“ทำไมล่ะคะ?” ด้วยความที่ตกใจ น้ำเสียงที่ซ่างกวนหยวนเปล่งออกมาดังเกินกว่าปกติ
“ผมอยากจัดการเรื่องในอดีตให้เรียบร้อยก่อนครับ”
“ฉันไม่อนุญาตค่ะ” ซ่างกวนหยวนส่ายหน้า “ในเมื่อคุณลืมอดีตไปหมดแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอีก”
ถ้าเขาอยากที่จะจัดการเรื่องในอดีตให้หมดจริง งั้นพอถึงตอนนั้นก็จำเป็นต้องคาราคาซังกับเจียงสื้อสื้ออีก
บางทีเขาอาจจะได้ความทรงจำกลับมาเพราะเหตุนี้ก็ได้
เธอไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
“หยวนหยวน” จิ้นเฟิงเฉินหันหน้าไป แล้วเก็บสีหน้าที่คัดค้านของเธอไว้ในสายตา จากนั้นพูดไปเบาๆ ว่า “อย่าคิดมากไปเลยครับ ผมแค่อยากบอกลาอดีตของตัวเองเท่านั้น ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อไปเราก็จะมีใช้ชีวิตที่สงบสุขได้ จริงมั้ยครับ?”
“แต่ว่า……แต่ว่าถ้าคุณเกิดจำอดีตได้ คุณจะ……”
เขาต้องเกลียดเธอแน่
ซ่างกวนหยวนไม่กล้าพูดออกไปจนหมด เพราะเธอกลัวเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ
เธอต้องลงทุนลงแรงไปมากมายแค่ไหนกว่าจะเอาเขามาอยู่ข้างๆ ได้ เธอไม่อยากเสียเขาไปจริงๆ
ไม่อยากเลยจริงๆ!
“งานแต่งต้องจัดตามเดิม!” ซ่างกวนหยวนพูด “คุณเองก็รู้สถานการณ์ของคุณย่าดี จะปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อไม่ได้”
“หยวนหยวน……”
จิ้นเฟิงเฉินยังอยากเกลี้ยกล่อมเธอต่อ แต่กลับถูกเธอเอามือปิดปากเอาไว้
เธอส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทำตามที่ฉันพูดนะ”
พอเห็นเธอดึงดันขนาดนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็จำเป็นต้องยอมแพ้ เขาเอามือเธอลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ครับ ทำตามที่คุณพูด”
ซ่างกวนหยวนกำมือเธอแน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เฟิงเฉินคะ ฉันรู้ว่าคุณกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่เรื่องในอดีตคุณก็ลืมไปหมดแล้ว ไม่ใช่เหรอคะ? มันก็เท่ากับว่าคุณได้เกิดใหม่อีกครั้ง คุณก็ควรที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่”
จิ้นเฟิงเฉินขำออกมาเบาๆ ขำออกมาด้วยความจนใจ “หยวนหยวนครับ นั่นคือลูกๆ ของผม ไม่ใช่เหรอครับ?”
ที่แท้ก็เด็กสองคนนั้นนี่เองที่ส่งผลกระทบกับเขา
ซ่างกวนหยวนรู้สึกเสียใจที่ไม่ไล่จิ้นเฟิงเหราออกไปในตอนที่พวกเขาเข้ามา แบบนี้เฟิงเฉินก็ไม่มีทางได้เจอเด็กสองคนนั้น และเรื่องต่อจากนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น
พอเห็นเธอไม่พูดอะไร จิ้นเฟิงเฉินจึงได้พูดต่อว่า “หยวนหยวน ตอนที่ผมเห็นเถียนเถียนร้องไห้แล้วเรียกผมว่าแด๊ดดี้ ในใจของผมมันรู้สึกแย่มาก ผมอยากอุ้มเธอ แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องเธอ”
พอพูดถึงตรงนี้ หางตาของเขาก็เริ่มเปียกปอน
ความรู้สึกแบบนั้นมันราวกับว่า ทั้งๆ ที่เป็นของรักของตัวเอง แต่มันกลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ของตัวเองเลย
“เฟิงเฉินคะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ” ซ่างกวนหยวนกัดริมฝีปาก “เอาอย่างนี้มั้ย รอเราแต่งงานกันแล้ว ค่อยไปรับเด็กสองคนนั้นมาที่นี่ดีมั้ยคะ?”
ขอแค่เขายอมแต่งงานกับเธอ เธอก็สามารถลองเปิดรับเด็กสองคนนั้นดูได้
แล้วถ้าพวกเธอมีลูกเป็นของตัวเอง เชื่อว่าเขาก็น่าจะให้ความสำคัญกับเด็กสองคนนั้นน้อยลงเรื่อยๆ
“แล้วแม่ของพวกเขาล่ะครับ?”
ภาพที่เจียงสื้อสื้อร้องไห้อย่างเจ็บปวดแล่นเข้ามาในหัวของจิ้นเฟิงเฉิน หัวใจ มันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที
ซ่างกวนหยวนได้ยิ้มออกมา รอยยิ้มแฝงไปด้วยความประชด “ความจริงคนที่คุณแคร์คือแม่ของพวกเขาใช่มั้ยคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ”
แล้วมันเป็นเพราะอะไรล่ะ?
เขาไม่สามารถอธิบายได้
เหมือนกับว่า มันจะเกี่ยวกับแม่ของพวกเขาจริงๆ
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะคะ? เป็นเพราะพอคุณได้เจอเด็กสองคนนั้น คุณก็ไม่อยากแต่งงานกับฉันแล้ว สรุปคือ คุณยังคงอาลัยอาวรณ์เรื่องในอดีตอยู่ คุณยังลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ได้”
จิ้งเฟิงเฉินยิ้มเยาะเย้ยตัวเองไปทีหนึ่ง “ผมลืมเรื่องราวในอดีตไปจนไม่เหลืออะไรเลย แล้วจะไปอาลัยอาวรณ์ถึงมันได้ยังไงล่ะครับ?”
จู่ๆ ซ่างกวนหยวนก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดไปว่า “ให้เรื่องนี้มันสิ้นสุดลงเท่านี้ได้มั้ยคะ?”
เธอแค่อยากให้เขามีความทรงจำที่สวยงามกับเธอเท่านั้น แต่ไม่ใช่ความทรงจำที่ปะปนไปด้วยทุกข์ใจของคนอื่น
เห็นถึงความเหนื่อยล้าตรงหว่างคิ้วของเธอ จิ้นเฟิงเฉินจึงต้องพยักหน้า “ครับ ผมไม่พูดแล้ว”
ซ่างกวนหยวนหายใจเข้าลึกๆ ลูบไปที่หน้าของเขา แล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “คุณพักผ่อนนะคะ ฉันขอออกไปข้างนอกก่อน”
“ครับ”
ซ่างกวนหยวนช่วยห่มผ้าให้เขา หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป