“เคลียร์? นี่หมายความว่ายังไง?” ส้งหร่านฟังไม่เข้าใจ
“ความหมายก็คือเขาจะไม่มีทางแต่งงานกับเย่เสี่ยวอี้”
ส้งหร่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง “ดังนั้นเธอก็เลยเชื่อเขา?”
“อืม”
“เธอโง่หรือเปล่าเนี่ย? ถ้าเผื่อว่าเขาแค่พูดเกลี้ยกล่อมเธอเฉยๆ ล่ะ แบบนั้นเธอจะได้กลายเป็นมือที่สามที่ไปทำลายความรักความรู้สึกของคนอื่นเข้าจริงๆ นะ!”
มือที่สาม?
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว พลางพูดปฏิเสธ “ฉันไม่ใช่มือที่สามนะ พวกเราต่างก็ชอบกันด้วยความจริงใจ”
ส้งหร่านอดกลอกตาขาวไม่ได้ “เธอเป็นมือที่สามอยู่แล้วสิ ฉันหมายถึงว่า ตราบใดที่การแต่งงานยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เรียบร้อย ในสายตาของคนภายนอกแล้วเธอก็คือมือที่สาม”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก
นับตั้งแต่ได้ยืนยันความสัมพันธ์กับฟางยู่เชินแล้ว เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอเชื่อว่าฟางยู่เชินจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่พอมาตอนนี้เจอส้งหร่านพูดแบบนี้ เธอถึงตระหนักได้ว่าเรื่องราวดูเหมือนจะค่อนข้างยุ่งยากและเป็นปัญหา
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นดูจริงจัง ส้งหร่านจึงตบๆ ไหล่ของเธอ “เธอควรให้ฟางยู่เชินรีบแก้ไขปัญหาให้เรียบร้อยซะ ไม่อย่างนั้นเธอคงได้เดือดร้อนเข้าจริงๆ”
เดือดร้อนถือว่ายังเบาอยู่ ที่กลัวที่สุดก็คือการโดนทุกคนด่าว่า
สังคมในปัจจุบันนี้ มือที่สามมักเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้งย่ำยีเสมอ
แต่เธอไม่ใช่มือที่สาม ทำไมต้องมาถูกคนด่าว่าฟรีๆ ด้วย?
เหลียงซินเวยไม่มีอารมณ์จะกินข้าวต่อไปแล้ว เธอปิดกล่องอาหารกลางวัน มองตรงไปข้างหน้าอย่างกำลังครุ่นคิดไตร่ตรอง
ส้งหร่านพูดถูก เรื่องการแต่งงานต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นความรักระหว่างเธอกับยู่เชินคงจะไม่ได้รับคำอวยพรอย่างแน่นอน
เพียงแต่……เธอจะเอ่ยปากพูดกับยู่เชินยังไงดีล่ะ?
……
บางที เรื่องที่ยิ่งวิตกกังวลก็มักจะยิ่งเกิดขึ้นเร็ว
ในเย็นวันนั้น จำนวนลูกค้าภายในร้านค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหลียงซินเวยเริ่มกลับมาทำงานหัวหมุนอีกครั้ง
เธอยืนอยู่หน้าประตูเพื่อคอยต้อนรับลูกค้า เมื่อเห็นเย่เสี่ยวอี้เดินเข้ามา ภายในใจของเธอก็เต้น “ตึกตัก”
ลางสังหรณ์ไม่ดีพุ่งเข้ามาในใจของเธอทันที
และเมื่อเย่เสี่ยวอี้เห็นเธอ หล่อนก็รีบพุ่งเข้ามาใส่ทันที หล่อนยกมือขึ้นเหวี่ยงตบหน้าเหลียงซินเวยติดต่อกันถึงสองครั้ง
เพี๊ยะเพี๊ยะ!
เสียงตบแสบแก้วหูดังขึ้นอย่างชัดเจน!
เหล่าลูกค้าและพนักงานคนอื่นๆ ต่างหันมองมาทางนี้
ประโยค “ยินดีต้อนรับ” ยังไม่ทันได้ออกจากปาก เหลียงซินเวยก็ถูกตบจนมึนงงไปหมดแล้ว
เธอเอียงศีรษะ ภายในหัวขาวโพลน รู้สึกได้เพียงความเจ็บปวดแสบร้อนที่แก้มของตัวเองเท่านั้น
เย่เสี่ยวอี้เหมือนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายที่มีในการตบสองครั้งนี้ บนแก้มของเหลียงซินเวยบวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และยังมีรอยฝ่ามือปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน
หล่อนชี้หน้าเหลียงซินเวย พลางตะโกนด่า “นังคนชั้นต่ำ ใครใช้ให้แกมายั่วยวนคู่หมั้นของฉัน วันนี้ฉันจะทำให้ทุกคนเห็นว่าแกมันร่านแค่ไหน!”
ทันทีที่เธอร้องด่าออกมา ทุกคนในเหตุการณ์ต่างเข้าใจในทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ตัวจริงกับมือที่สาม
สายตาของพวกเขาที่มองไปที่เหลียงซินเวยเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูถูก
“หน้าตาก็ออกจะสวย คิดไม่ถึงว่าจะไร้ยางอายขนาดนี้”
“ทำไมสมัยนี้ถึงมีมือที่สามเยอะจัง? อายุยังน้อยไม่รู้จักเรียนรู้อะไรดีๆ แต่กลับไปเป็นมือที่สาม”
……
เมื่อได้ยินเสียงพูดวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา เหลียงซินเวยงุนงงไม่รู้จะทำยังไง รีบพูดอธิบายขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณคิดนะ ฉันไม่ใช่มือที่สามนะ!”
“ใช่ เวยเวยไม่ใช่มือที่สาม!”
เมื่อทางผู้จัดการและส้งหร่านได้ยินเรื่องราวเข้าก็รีบวิ่งออกมาอยู่ข้างเหลียงซินเวยทันที”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เมื่อเห็นแก้มบวมแดงของเหลียงซินเวย ผู้จัดการก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่นทันที
“ขอโทษนะคะ ผู้จัดการ” เหลียงซินเวยก้มหัวขอโทษ
เพราะเรื่องส่วนตัว ทำให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของร้านอาหาร
“คุณเป็นผู้จัดการใช่ไหม” เย่เสี่ยวอี้มองไปที่ผู้จัดการ พลางพูดอย่างเย็นชาว่า “คนไร้ศีลธรรมจริยธรรมประเภทนี้ ทางร้านอาหารของคุณยังกล้าใช้งานอีกเหรอ?”
“คุณผู้หญิงครับ ก่อนจะมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าเหลียงซินเวยเป็นมือที่สามจริง ขอคุณโปรดใช้วิจารณญาณในการพูดด้วยนะครับ!”
เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการพยายามแก้ต่าง เย่เสี่ยวอี้ยิ้มเยาะพลางพูดอย่างโกรธจัด “ไม่มีหลักฐาน? นี่คุณกำลังล้อฉันเล่นอยู่เหรอ? คนตัวเป็นๆ อย่างฉันยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์หรือไง?”
ผู้จัดการขมวดคิ้ว หันศีรษะไปมองที่เหลียงซินเวย ในสายตาคู่นั้นแฝงไปด้วยคำถาม
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในการปฏิบัติตัวของเหลียงซินเวย แต่เกรงว่าเรื่องนี้จะมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องถามให้ชัดเจน
“ผู้จัดการคะ ฉันไม่ได้ทำลายความรักความรู้สึกของใคร แล้วก็ไม่ใช่มือที่สาม โปรดเชื่อฉันเถอะนะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลียงซินเวย เย่เสี่ยวอี้ก็กรีดร้องด่าออกมาทันที “แกกล้าพูดไหมว่าไม่ได้คบอยู่กับยู่เชิน?”
เหลียงซินเวยกำฝ่ามือแน่น ก่อนจะคลายออกในทันที เธอเงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยสายตานิ่งสงบ “ใช่ ฉันกำลังคบอยู่กับยู่เชิน และเขายังบอกอีกว่า เขาไม่ได้ชอบเธอ และไม่มีทางแต่งงานกับเธอแน่นอน!”
คำพูดเหล่านี้กระทบกระเทือนจิตใจของเย่เสี่ยวอี้โดยตรง อารมณ์ของเธอแปรปรวนในทันที กรีดร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “แกโกหก! เป็นไปไม่ได้ที่ยู่เชินจะไม่ชอบฉัน เมื่อวานเขายังมาหาฉันที่บ้านอยู่เลย เขาเป็นห่วงฉันและจะแต่งงานกับฉันแน่นอน”
เมื่อวาน?
เหลียงซินเวยย่นคิ้วเล็กน้อย ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าเมื่อวานฟางยู่เชินไปที่ตระกูลเย่?
บางทีเขาอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ไม่ไปตระกูลเย่ไม่ได้
แต่ภายในใจของเธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ฉันจะบอกเธอให้นะ เหลียงซินเวย ระหว่างเธอกับยู่เชินมันไม่มีทางเป็นไปได้! เธอเป็นแค่แม่เลี้ยงเดี่ยว มีตัวภาระอยู่ทั้งคนยังคิดอยากจะใฝ่สูงคบหากับคนมีฐานะอย่างตระกูลฟาง แกฝันไปเถอะ!”
สีหน้าของเหลียงซินเวยเปลี่ยนเป็นดูไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
เพราะครึ่งประโยคหลังที่เย่เสี่ยวอี้พูดมามันถูกต้อง
เธอกับฟางยู่เชิน สถานะต่างกันราวฟ้ากับเหว สูงเกินจะเอื้อมถึงจริงๆ
ส้งหร่านทนฟังต่อไปไม่ไหว “ฝันหรือไม่ฝัน ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่เธอควรจะไปถามฟางยู่เชินให้เข้าใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ? จะแจ้นมาหาเรื่องเวยเวยทำไม?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ส้งหร่านยิ้มเยาะเย้ยออกมา “เลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ไหม” สองคำนี้ หล่อนจงใจเน้นน้ำเสียงให้หนักขึ้น
เย่เสี่ยวอี้พ่นลมฮึดฮัด “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอเป็นคนยั่วยวนยู่เชิน ทำไมฉันต้องไปถามยู่เชินด้วย?”
“คุณเห็นว่าเธอยั่วยวนฟางยู่เชินกับตาของตัวเองอย่างนั้นเหรอ?” ส้งหร่านร้องถามอย่างฉุนเฉียว!
เย่เสี่ยวอี้ถูกดักจนพูดไม่ออก
หล่อนจ้องหน้าเหลียงซินเวยเขม็ง ทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายยั่วยวนก่อแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มันถึงได้กลับกลายเป็นหล่อนที่ผิดไปเสียได้?
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ!
หางตาของหล่อนเหลือบไปเห็นไวน์แดงบนถาดที่พนักงานเสิร์ฟกำลังถืออยู่ห่างออกไปไม่ไกล หล่อนรีบหันตัวเดินเข้าไป หยิบไวน์แดงมาไว้ในมือ
ก่อนจะเคาะมันกับมุมโต๊ะอย่างแรง
ขวดไวน์แตกละเอียด น้ำไวน์แดงไหลนองไปทั่วพื้น
เห็นดังนั้น ผู้จัดการจึงรีบเข้ามาขวางอยู่ด้านหน้าของเหลียงซินเวยด้วยสัญชาตญาณ
“เหลียงซินเวย วันนี้ฉันจะไม่มีทางปล่อยแกไปง่ายๆ แน่!” เย่เสี่ยวอี้เดินเข้าไปพร้อมขวดไวน์ที่แตกในมือ บนใบหน้าที่แต่งหน้าอ่อนหวานสวยงามเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“คุณคิดจะทำอะไร?” ผู้จัดการจ้องมองหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“พวกแกหลบไปให้หมด นี่เป็นเรื่องของฉันกับมัน ไม่เกี่ยวกับพวกแก!” เย่เสี่ยวอี้จับจ้องไปที่เหลียงซินเวยที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาตาเขม็ง
เหลียงซินเวยเป็นกังวลว่าจะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องพลอยได้รับบาดเจ็บ จึงก้าวออกมา สูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณเย่คะ คุณรู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่? อย่าหุนหันพลันแล่นสิคะ!”
“หุบปาก” เย่เสี่ยวอี้ตะคอกด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “ถ้าตอนนี้แกอยากให้ฉันไม่หุนหันพลันแล่น ถ้าอย่างนั้นก็คืนยู่เชินมาให้ฉันสิ!”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้วและเงียบขรึมไป
เมื่อเห็นเธอไม่พูดอะไร เย่เสี่ยวอี้ก็ร้องตะโกนขึ้นมาอีก “คืนยู่เชินมาให้ฉัน!”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ทุกคนต่างตอบสนองต่อมันไม่ทันเลย
เห็นเพียงเย่เสี่ยวอี้ชูขวดแตกขึ้นสูงและพุ่งตัวเข้าไปหาเหลียงซินเวย